จริงๆเราไม่เคยคิดจะเขียนเรื่องนี้เลยค่ะ เพราะอย่างที่บอกไปหลายรอบมากกว่าา
"เราไม่เคยมีความมั่นใจด้านภาษาญี่ปุ่นเลยย"
ถึงจะเรียนมาระดับนี้แล้ว ก็ยังคงไม่มั่นใจค่ะ ยิ่งเรียนเราก็จะยิ่งรู้ศักยภาพที่ใช้การไม่ได้ของตัวเอง
บวกกับอะไรหลายๆอย่างที่เจอมา ทำให้เรากลายเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่กล้าใช้ภาษานะ แค่แบบ กล้า แต่ไม่มั่นใจว่ามันดีรึเปล่า 55555
/ย้อนแย้งตลอด
โดยที่เราจะพูดต่อไปนี้เป็นสิ่งที่เราโดนถามบ่อย มากกกกกกกกก
จำไม่ได้ว่าเคยเขียนไปรึยัง แต่เอาเป็นว่าเราจะรวบรวมที่ๆเราเคยเรียนภาษาทั้งหมดไว้ในเอนทรี่นี้นะคะ
.
.
.
.
.
ขั้นตอนการเรียนภาษาโดยสังเขป พออ่านสนุก
ช่วงมัธยมปลาย
เราเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นช่วงม.ปลายค่ะ ที่โรงเรียนเราเรียนอยู่ศิลป์คำนวน
เรียนภาษาญี่ปุ่น อาทิตย์ละครั้ง จากสถาบัน OKLS สาขา แจ้งวัฒนะ
สถาบันนี้เค้าเน้น ภาษาจีนอะเนอะ 55555555555555
แต่เราก็เรียนที่นี่ตั้งแต่เริ่มเขียนตัวอักษรยันจบมินนะโนะนิฮงโกะ เล่ม 4
จนต่อคอร์สเสริม เรียกว่าเรียนจนเค้าไม่มีอะไรจะสอนแล้วอะค่ะ
ที่นี่ดีอย่างคือจะมีทั้ง อ.ชาวไทย และ อ.ชาวญป. สลับกันมาสอน
การที่เราเจอ อ.ชาวญป.บ่อยๆก็จะทำให้ ชินกับการเจอคนญป.มั้งคะ
อาจจะเพราะเราเรียนกับคนญป.(ที่ไม่ได้ไทยเลย) มาตั้งแต่แรกแล้ว ก็เลยไม่กลัวคนญป.ค่ะ
กล้าพูด เพราะ เมื่อก่อนไม่รู้กว่านี้อีกยังผ่านมาได้
ด้วยความที่เราเรียนญี่ปุ่นแบบขำๆมาตลอด พื้นไม่มีความแน่นเลย
แต่ตอนม.หก ดั๊นนนน มาอยากเข้าเอกญป.ตอน สามเดือนก่อนสอบ PAT ครั้งแรก
ก็เลยย เรียนพิเศษ(ทางออนไลน์) ของ ครูพี่โฮมค่ะ (ไปเสิซเอาเองนะอันนี้)
ถามว่าดีไหมก็ดีนะคะ เราว่าเค้าทำหนังสือดี เหมาะสำหรับเรียนแบบเร่งด่วนแบบเรา
เราเรียนแค่ คอร์สติว PAT นะ หลังจากนั้นไม่ได้เรียนต่อค่ะ
มหาลัย
เราเรียนพิเศษที่ OKLS จนถึงช่วง มหาลัยปี 1 ค่ะ แล้วเค้าก็คอร์สหมด ไม่มีไรเรียนเลย 55555
มหาลัย เราเรียน คณะศิลปศาสตร์ เอก ภาษาญี่ปุ่น
อย่างที่เคยเล่าเราเรียน คำนวนมา พอมาเข้าเอกเพื่อนส่วนใหญ่เค้าเรียน ม.ปลาย มาก่อนแล้ว
ทำให้พื้นเราไม่แน่น(โคตรหลวมเลยก็ว่าได้) ทำให้ปี 1 ของเราไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ค่ะ
แต่ด้วยความที่เรียนเป็นวิชาเอก ต้องพยายามอย่างมาก
ทำให้ช่วง1ปีนี้เราต้องพยายามหนักเพื่อให้ได้เรียนต่อในเทอมถัดไปได้
(คือที่ลาดกระบังทุกวิชาเป็นตัวต่อ ซึ่งเปิดปีละครั้งเท่านั้น ถ้าตก1ตัวก็เท่ากับต้องเรียนซ้ำชั้นค่ะ)
ทำให้เป็น 1 ปีที่พัฒนาขึ้นอย่างแรงกล้ามากค่ะ คือพื้นแน่นขึ้นได้ด้วยปีเดียว
เรียนเอกไง นี่คือพลังของการเรียนเอก
เราเลือกเข้าลาดกระบังเป็นอันดับ1 เนื่องจากสนใจหลักสูตรที่สอนตั้งแต่แรก55555
เพราะเรารู้ตัวว่า ที่เรียนมาข้างบนทั้งหมดมันใช้การไม่ได้ไงงงงง
แต่นั่นแหละ ด้วยหลักสูตรของทางลาดกระบังเอง มันทำให้เราพัฒนาขึ้นโดยไม่รู้ตัวค่ะ
เราไม่มั่นใจเรื่องภาษามากกกกกกกก เลยไม่กล้าไปสอบวัดระดับสักที
ปล่อยช่วงเวลา ปี1-2 ผ่านไปแบบเรื่อยเปื่อย
จนมันถึงเวลาที่ เฮ้ยต้องมีใบ ต้องผ่านละนะ เพระมันจะจบแล้ว
เราผู้เกลียดการอ่านหนังสือมาก (สมาธิค่อนข้างสั้น) เลยหา อาจาร์ยติวสอบ N3 ตัวต่อตัวค่ะ
ซึ่งเราก็ใช้เวลาเรียนกี่แก ปีกว่ามั้ง (น่าจะตั้งแต่ปิดเทอมปี 2 จนถึงซัมเมอร์ขึ้นปี3)
จริงๆก็คงจะเรียนต่อไป ถ้าพี่แกไม่หนีไปเรียนต่อก่อนนะ 55555555555
เราไปสอบวัดระดับ N3 ครั้งแรก รอบ กรกฎาคม 2016 ค่ะ
จำได้ตอนนั้นแม่งเครียดมาก เพราะติวนาน แล้วมันก็หลายๆอย่าง คืออยากผ่านอะ อยากมีดีกรีติดตัว
ซึ่งนั่นเป็นการเหยียบสนามสอบวัดระดับครั้งแรกในชีวิตเรา
(เวลามีคนถามว่า N4 N5 เป็นไง เราเลยตอบไม่ได้เพราะไม่มั่นใจพอจะไปสอบสักรอบ)
ความรู้สึกหลังออกห้องสอบมานะ
เนื่องจากเราเป็นคนไม่อ่านหนังสือ(เลย) คือติวล้วน ไม่เคยกลับมาทบทวนห่าเหวไรทั้งนั้น 55555
เราผ่านค่ะ!!!
แต่พาร์ทพวกคำศัพท์ คันจิ ไรงี้ คะแนนไม่ค่อยดี
แต่คะแนนรวมราวๆ ร้อยห้าสิบกว่าๆมั้ง เราจำไม่ค่อยได้
พาร์ทฟังผิดไปข้อนึง
(ขออภัยที่ให้คำแนะนำช่วง N3 ไม่ได้เช่นกันเพราะเรียนติวเอาล้วนๆ พี่เพลงอัดหนังสือหลายเล่มมาก)
แล้วพี่ที่เป็นคนติวอย่างพี่เพลงก็ หนีไปเรียนต่อที่ญป. 555555555
อ่าว ชิบหายแล้ว Next Station N2 เราก็แบบ เรียนมหาลัยปี 3 เทอม1 ปกติ
ซื้อหนังสือมาอ่านบ้าง (แต่ไม่จบหรอก)
เป็นครั้งแรกที่อ่านหนังสือด้วยตัวเองไปสอบค่ะ
แต่ก็ไม่ได้อ่านเท่าไหร่หรอกเพราะขี้เกียจ
เราเข้าสอบ N2 ทันทีในการสอบวัดระดับรอบ ธันวาคม 2016
เพราะคุยๆกะเพื่อนว่า เอออไหนๆก็ผ่านละไปลองข้อสอบก่อน
(ก็เลยไม่ได้อ่านไปสอบเท่าไหร่)
ปี 3 เป็นชั้นปีที่ขึ้นชื่อว่าเรียนหนักสุด เรียนอ้วกเลย
คือบทเรียนมันยากมาก เรียนภาษาญป.ระดับสูง แอบเห็นในชีท มันระดับ N1 เลยมั้ง
เรียนไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก 5555555555555
ยิ่งคนไม่ชอบอ่านหนังสือทบทวนแบบเรายิ่งไปใหญ่ค่ะ เทสอบไปแปลละครไรงี้
ทำให้คะแนนรวมๆเราไม่ค่อยดีเท่าไหร่ (แต่ก็ไม่ได้แย่)
การสอบปลายภาคของ เทอมแรกมันจบก่อนวัดระดับ กี่วันเองอะ 4-5 วันมั้ง
2 วันแรกเราก็น็อคอะ เหลือเวลาอ่าน 3 วัน ด้วยความที่คุยกะเพื่อนว่า เอาหน่ามึง ลองข้อสอบ
ก็ไปสอบอย่างนั้นแหละค่ะ
พอเข้าห้องสอบไป ช็อคตั้งแต่พาร์ทแรกละ อะไรวะเนี่ย
แต่เราบอกได้เลยว่า ถ้าท่องพวกคันจิ คำศัพท์ไป N2 มันจะสบายขึ้นเยอะมากกกกกกกกก
แต่!!!! เราไม่ได้แตะเลยไง เราดูแต่ไวยากรณ์ไปเอง
โอ้โหหหตึ้บเลยค่ะ พาร์ทอ่านก็ เราว่าไม่ค่อยยากนะ (เพราะที่เรียนในม.มันยากกว่ามั้ง)
แต่มันยาวมากกกกกกกกกกกกกกกก ต้องใช้สกิลการอ่านไวเป็นหลัก
คือพาร์ทการอ่านเราว่าถ้าเค้าให้เวลาเยอะ คนอาจจะได้เต็มเยอะนะ
บทความมันจะวกไปวนมานิดนึงแต่อ่านดีๆก็จะทำได้ค่ะ
แต่เวลาน้อยมาก คนทำไม่ทันเยอะ (เพื่อนเราแทบทุกคนทำไม่ทัน)
เราก็ทันพอดีเสร็จก่อนหมดเวลา นาทีกว่าเองมั้ง
เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีที่ทำข้อสอบไม่ทัน (ล่าสุดคือสอบคำนวนตอนม.ปลาย)
มาต่อที่พาร์ทฟัง เป็นพาร์ทที่เรามั่นใจมากกกที่สุด ไม่รู้เอาความมั่นใจมาจากไหนนักหนา555
ด้วยความที่สอบฟังต่อจากอ่าน เราผู้มึนจากการอ่านแล้ว ฟัง พวกข้อแรกๆไม่ทันเลยจ้าา
หัวนี่โล่งหมดเลย
ก็เดินเซกลับบ้านกันไปค่ะ วันประกาศผลไม่ค่อยลุ้นเท่าไหร่เพราะไม่ได้หวัง
แต่ดันผ่าน อ่าว
#จบการรีวิว ผิดๆ เดี๋ยวสิ
เราผ่าน แต่ผ่านด้วยคะแนนแบบ ก็แค่ผ่านอะ ไม่ว้าววว เก็ตปะ 555555
เราเลยคิดว่าจะสอบใหม่ คราวนี้รู้ละว่าข้อสอบเป็นไง รู้แล้วว่าต้องอ่านศัพท์และคันจิก่อนเพื่อนเลย
พาร์ทอ่าน พาร์ทฟังคะแนนเราก็โอเคแหละ แต่พาร์ทแรกคือแบบ ระยำ
คือมันก็แย่ตั้งแต่ N3 ละ ไม่รู้จักปรับปรุง 55555555555
ตอนนี้เลยตั้งใจว่ารอบหน้าก็คงยังสอบ N2 อยู่ค่ะ
รอบนี้จะสอบแบบตั้งใจละ เพราะเรารู้ตัวว่าสอบ N1 ไปตอนนี้ก็คงไม่ผ่าน
สู้ไปสอบ N2 อีกรอบเอาคะแนนแจ่มๆดีกว่า
สำหรับหนังสือที่เราใช้อ่านสำหรับเตรียม N2 ไว้จะมาเขียนอีกทีนะคะ ต้องละเอียดนิดนึง
(แน่ใจนะ 555555 จริงๆคือขี้เกียจขุดมาถ่ายรูป (เพราะไม่ได้อ่านเลยนั่นแหละ55555))
อ่านตั้งนาน ทีนี้มาพูดถึงเทคนิคการเรียนภาษาในแบบของเราดีกว่า
แอบมั่นใจว่าไม่ค่อยเหมือนคนอื่นเค้า เพราะเราไม่ชอบอ่านหนังสือ55555
.
.
.
.
.
เทคนิคการเรียนภาษาญป.
แอบมั่นใจว่าไม่ค่อยเหมือนคนอื่นเค้า เพราะเราไม่ชอบอ่านหนังสือ55555
.
.
.
.
.
เทคนิคการเรียนภาษาญป.
1.ถ้าชอบเพลงก็เรียนจากเพลงไปเลยยยยยยยยยย
เราจำไวยากรณ์ และ คำศัพท์โดยใช้เพลงช่วยค่ะ
อาจจะฟังดูละแบบ อะไรของมึงไร้สาระ แต่มันช่วยได้จริงๆนะยูวววว
อย่างเวลาเราอ่านหนังสือ เราจะเจอไวยากรณ์ที่แบบ ไรวะ เยอะมากกก
เรื่องคำศัพท์อาจจะช่วยไรได้ไม่เยอะ (แต่อย่างน้อยก็จะจำศัพท์พวกในชีวิตประจำวันได้นะ)
แต่ไวยากรณ์เราว่าช่วยได้เยอะะ
เวลาฟังเพลงอย่าฟังเฉยๆค่ะ ต้องมีความอยากฟังให้ออกด้วย
(จะว่าไปก็ช่วยเรื่องการฟังด้วยแฮะ)
เราโชคดีที่เราชอบญี่ปุ่นด้วยแหละ เลยเรียนญป.ได้ไม่ยากเพราะมีสื่อช่วยเยอะ
ตัวอย่างที่เราทำนะคะ เวลาฟังเพลงก็พยายามฟังว่าเค้าร้องว่าอะไร แล้วก็เปิดดิกตาม
มันจะช่วยมากพวกตัว そ ぞ す ず つ づ ไรงี้เพราะมันฟังออกค่อนข้างยากอะเนอะ
ต้องอาศัยการได้ยินบ่อยๆ ฟังจากหลายๆสำเนียง
แล้วที่เราแปลเพลงบ่อย เพราะการแปลเพลงหนึ่งครั้งมันได้หลายอย่างมากๆค่ะ
1.ไวยากรณ์
2.คำศัพท์
3.ฝึกตีความ
4.การใช้ภาษาไทย
5.ได้แกะคันจิด้วยนะ 555555
แต่การแปลเป็นเรื่องยาก ถึงเราจะแปลมานานแล้วก็ยังคิดแบบนี้อยู่ค่ะ
บางทีที่เราตีความกับความจริงอาจจะแตกต่างกัน
คือเพลงมันไม่ใช่สิ่งที่เปิดดิกแปลตามได้อะ ทุกวันนี้เรายังให้พี่พรู๊ฟให้อยู่เลยค่ะ
ไม่มั่นใจ55555555
ฉนั้นเวลาเราเลือกเพลงที่แปล เราต้องเลือกที่ชอบ แล้วเข้าใจด้วยนะ
อย่างช่วงแรกๆเอาที่แบบ ฟังแล้วร้องอ๋อได้เลย
ตัวอย่างเพลงที่มั่นใจว่าหลายคนฟังออก
https://www.youtube.com/watch?v=84AsL4blnQ4
เราจำไวยากรณ์ และ คำศัพท์โดยใช้เพลงช่วยค่ะ
อาจจะฟังดูละแบบ อะไรของมึงไร้สาระ แต่มันช่วยได้จริงๆนะยูวววว
อย่างเวลาเราอ่านหนังสือ เราจะเจอไวยากรณ์ที่แบบ ไรวะ เยอะมากกก
เรื่องคำศัพท์อาจจะช่วยไรได้ไม่เยอะ (แต่อย่างน้อยก็จะจำศัพท์พวกในชีวิตประจำวันได้นะ)
แต่ไวยากรณ์เราว่าช่วยได้เยอะะ
เวลาฟังเพลงอย่าฟังเฉยๆค่ะ ต้องมีความอยากฟังให้ออกด้วย
(จะว่าไปก็ช่วยเรื่องการฟังด้วยแฮะ)
เราโชคดีที่เราชอบญี่ปุ่นด้วยแหละ เลยเรียนญป.ได้ไม่ยากเพราะมีสื่อช่วยเยอะ
ตัวอย่างที่เราทำนะคะ เวลาฟังเพลงก็พยายามฟังว่าเค้าร้องว่าอะไร แล้วก็เปิดดิกตาม
มันจะช่วยมากพวกตัว そ ぞ す ず つ づ ไรงี้เพราะมันฟังออกค่อนข้างยากอะเนอะ
ต้องอาศัยการได้ยินบ่อยๆ ฟังจากหลายๆสำเนียง
แล้วที่เราแปลเพลงบ่อย เพราะการแปลเพลงหนึ่งครั้งมันได้หลายอย่างมากๆค่ะ
1.ไวยากรณ์
2.คำศัพท์
3.ฝึกตีความ
4.การใช้ภาษาไทย
5.ได้แกะคันจิด้วยนะ 555555
แต่การแปลเป็นเรื่องยาก ถึงเราจะแปลมานานแล้วก็ยังคิดแบบนี้อยู่ค่ะ
บางทีที่เราตีความกับความจริงอาจจะแตกต่างกัน
คือเพลงมันไม่ใช่สิ่งที่เปิดดิกแปลตามได้อะ ทุกวันนี้เรายังให้พี่พรู๊ฟให้อยู่เลยค่ะ
ไม่มั่นใจ55555555
ฉนั้นเวลาเราเลือกเพลงที่แปล เราต้องเลือกที่ชอบ แล้วเข้าใจด้วยนะ
อย่างช่วงแรกๆเอาที่แบบ ฟังแล้วร้องอ๋อได้เลย
ตัวอย่างเพลงที่มั่นใจว่าหลายคนฟังออก
https://www.youtube.com/watch?v=84AsL4blnQ4
2.ถ้าติ่งมากก็ดูรายการดูละครญี่ปุ่นวนไปจ้าาาาาา
อันนี้เป็นเทคนิคที่เราได้มาตอนเรียนภาษาอังกฤษ 555555
การเรียนจากวีดีโอดีตรงไหนรู้ไหม?
หนึ่ง คือ สนุก
สอง คือ เราย้อนกลับไปดูกี่ครั้งก็ได้
สมมุติเราฟังไม่ออกเราก็กดวนแล้วค่อยๆฟังได้ถูกไหม
แล้วถ้าเราดูรายการญป. เราก็จะรู้ภาษาพูดได้ใช้กันจริงๆด้วย
มันจะทำให้เราเคยชินกับสปีดการพูดของคนญป.จริงๆ
เราดูๆเอามันส์ไม่คิดว่ามันช่วยหรอกค่ะ
จนตอนมาใช้จริงๆ เราไม่มีปัญหาฟังไม่ทันเลย (มีแต่ไม่รู้ศัพท์จนฟังไม่ออก5555)
อันนี้เป็นเทคนิคที่เราได้มาตอนเรียนภาษาอังกฤษ 555555
การเรียนจากวีดีโอดีตรงไหนรู้ไหม?
หนึ่ง คือ สนุก
สอง คือ เราย้อนกลับไปดูกี่ครั้งก็ได้
สมมุติเราฟังไม่ออกเราก็กดวนแล้วค่อยๆฟังได้ถูกไหม
แล้วถ้าเราดูรายการญป. เราก็จะรู้ภาษาพูดได้ใช้กันจริงๆด้วย
มันจะทำให้เราเคยชินกับสปีดการพูดของคนญป.จริงๆ
เราดูๆเอามันส์ไม่คิดว่ามันช่วยหรอกค่ะ
จนตอนมาใช้จริงๆ เราไม่มีปัญหาฟังไม่ทันเลย (มีแต่ไม่รู้ศัพท์จนฟังไม่ออก5555)
คนญี่ปุ่นเค้ามีหลายสำเนียงอะเนอะ เวลาเราฟังแบบนี้บ่อยๆเราก็จะชินกับเสียงหลายๆแบบ
เป็นการฝึกฟังที่ดีมากกกกกกกกกกกกกก
อีกอย่างเราชอบดู Arashi ni shiyagare เพราะเราชอบฟังสำเนียงของพี่โช
เราว่าภาษาญป.(ระดับนายก เอ้ย ระดับแคสเตอร์) ของพี่แกมันฟังง่ายอะ เพลินดี
แล้วเราไม่ใช่สายละคร ไม่ค่อยได้ดูเท่าไหร่ แต่จริงๆละครอาจจะดีกว่าดูรายการก็ได้นะคะ
เมื่อก่อนเราจะใช้วิธีดูซับญป.เอา
โหลดซับญป.จากเว็บนี้ (ห้ามถามว่าซิงค์ยังไงนะไปหาเอง 5555)
http://jpsubbers.web44.net/Japanese-Subtitles/
เป็นการฝึกฟังที่ดีมากกกกกกกกกกกกกก
อีกอย่างเราชอบดู Arashi ni shiyagare เพราะเราชอบฟังสำเนียงของพี่โช
เราว่าภาษาญป.(ระดับนายก เอ้ย ระดับแคสเตอร์) ของพี่แกมันฟังง่ายอะ เพลินดี
แล้วเราไม่ใช่สายละคร ไม่ค่อยได้ดูเท่าไหร่ แต่จริงๆละครอาจจะดีกว่าดูรายการก็ได้นะคะ
เมื่อก่อนเราจะใช้วิธีดูซับญป.เอา
โหลดซับญป.จากเว็บนี้ (ห้ามถามว่าซิงค์ยังไงนะไปหาเอง 5555)
http://jpsubbers.web44.net/Japanese-Subtitles/
แต่ตอนนี้ไม่ได้ดูซับญป.ละ คือดูสดเอา ขี้เกียจ 555555555555
3.ฝึกอ่านข่าว
อันนี้คนเรียนภาษาไม่ว่าภาษาไหนๆ ก็มักจะโดน อ.พูดให้ฝึกอ่านใช่ไหมคะ
ข่าวมันเป็นศาสตร์ที่ยากนะ คือเค้าจะใช้เค้าที่ยากอะ
การอ่านข่าวบ่อยๆ (ถึงจะข่าวบันเทิงก็เถอะ) มันทำให้เรา เดา ข่าวเก่งขึ้นเว่ย
โอเค ดีเทลยังไงก็ต้องใช้ดิก แต่ความรวมบอกเลยไม่พลาด
ถึงอ่านไม่ออกแต่มันเข้าใจได้ เพราะเราเคยอ่านประมานนี้มาก่อนหน้านี้ละไง
อันนี้จะช่วยเวลาทำข้อสอบอ่านยาวๆตอนวัดระดับได้ดี
แต่ถ้าอ่านข่าวมันยาก ก็ลองหันไปอ่านพวกแม็กดูค่ะ แต่แม็กมันง่ายไปไม่ค่อยตื่นเต้น
อาจจะเป็นโนเวล รึ มังงะ ก็ได้ โนเวลก็อาจจะยากไป55555555555
งั้นมังงะละกัน ก็เลือกเรื่องที่ชอบก่อน แล้วค่อยไต่เลเวลยากขึ้นเรื่อยๆ
4.ฝึกแปล
อันนี้เป็นสิ่งที่เราทำบ่อยสุด คือเราอาจจะโชคร้ายที่มีคนตามเยอะ 55555555
ถ้าคนตามเรามานานๆๆๆๆ ก็คงจะเห็นดราม่าที่เกิดจากการแปลของเราบ่อยครั้ง
อันนี้ไม่ขอพูดถึงละกันค่ะ
แต่ทุกดราม่ามันก็สอนอะไรหลายๆอย่างด้วยแหละเนอะ
เหมียวแปลจนเป็นนิสัย สันดานเลยดีกว่า
ยิ่งเราแปลบ่อยเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งแปลได้ดีขึ้น เร็วขึ้นมากเท่านั้น
ยิ่งการแปลรายการก็เหมือนฝึกการเป็นล่ามนั่นแหละ
เราจะดูแล้วก็กดหยุด แล้วก็พิมพ์ลงทวิตไรงี้
การแปลเป็นสกิลที่ต้องฝึกฝนอะ คือถ้าเราไม่ทำไรเลยสักอย่างมันก็จะไม่พัฒนา
อ่านแล้วเหมือนจะเครียด ดูเราจริงจัง ไม่เลยยยย
ทุกอย่างเราทำเป็นนิสัย เป็นกิจวัตรประจำวัน ก็เลยไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอะไรค่ะ
เพราะไม่ได้มีใครบังคับให้ทำ
3.ฝึกอ่านข่าว
อันนี้คนเรียนภาษาไม่ว่าภาษาไหนๆ ก็มักจะโดน อ.พูดให้ฝึกอ่านใช่ไหมคะ
ข่าวมันเป็นศาสตร์ที่ยากนะ คือเค้าจะใช้เค้าที่ยากอะ
การอ่านข่าวบ่อยๆ (ถึงจะข่าวบันเทิงก็เถอะ) มันทำให้เรา เดา ข่าวเก่งขึ้นเว่ย
โอเค ดีเทลยังไงก็ต้องใช้ดิก แต่ความรวมบอกเลยไม่พลาด
ถึงอ่านไม่ออกแต่มันเข้าใจได้ เพราะเราเคยอ่านประมานนี้มาก่อนหน้านี้ละไง
อันนี้จะช่วยเวลาทำข้อสอบอ่านยาวๆตอนวัดระดับได้ดี
แต่ถ้าอ่านข่าวมันยาก ก็ลองหันไปอ่านพวกแม็กดูค่ะ แต่แม็กมันง่ายไปไม่ค่อยตื่นเต้น
อาจจะเป็นโนเวล รึ มังงะ ก็ได้ โนเวลก็อาจจะยากไป55555555555
งั้นมังงะละกัน ก็เลือกเรื่องที่ชอบก่อน แล้วค่อยไต่เลเวลยากขึ้นเรื่อยๆ
4.ฝึกแปล
อันนี้เป็นสิ่งที่เราทำบ่อยสุด คือเราอาจจะโชคร้ายที่มีคนตามเยอะ 55555555
ถ้าคนตามเรามานานๆๆๆๆ ก็คงจะเห็นดราม่าที่เกิดจากการแปลของเราบ่อยครั้ง
อันนี้ไม่ขอพูดถึงละกันค่ะ
แต่ทุกดราม่ามันก็สอนอะไรหลายๆอย่างด้วยแหละเนอะ
เหมียวแปลจนเป็นนิสัย สันดานเลยดีกว่า
ยิ่งเราแปลบ่อยเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งแปลได้ดีขึ้น เร็วขึ้นมากเท่านั้น
ยิ่งการแปลรายการก็เหมือนฝึกการเป็นล่ามนั่นแหละ
เราจะดูแล้วก็กดหยุด แล้วก็พิมพ์ลงทวิตไรงี้
การแปลเป็นสกิลที่ต้องฝึกฝนอะ คือถ้าเราไม่ทำไรเลยสักอย่างมันก็จะไม่พัฒนา
อ่านแล้วเหมือนจะเครียด ดูเราจริงจัง ไม่เลยยยย
ทุกอย่างเราทำเป็นนิสัย เป็นกิจวัตรประจำวัน ก็เลยไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอะไรค่ะ
เพราะไม่ได้มีใครบังคับให้ทำ
ส่วนเรื่องท่องคันจิยังไง ท่องศัพท์ยังไง อันนี้คือ ก็ท่องอะค่ะ 55555555
เปิดหนังสือนั่งท่องเป็นจริงเป็นจัง
แต่ข้อเสียของเราคือเราเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ ไม่ชอบท่อง
เราเลยอ่อนพวกนี้
เปิดหนังสือนั่งท่องเป็นจริงเป็นจัง
แต่ข้อเสียของเราคือเราเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ ไม่ชอบท่อง
เราเลยอ่อนพวกนี้
สุดท้ายนี้เราก็ไม่รู้ว่าเอนทรี่นี้ช่วยอะไรทุกคนได้บ้างนะคะ
แต่นี่คือสิ่งที่เราผ่านมาและทำจริงๆ
มีคน Ask มาถามเรื่องเรียนเยอะมาก เลยกะจะเขียนเรื่องนี้ละเอียดให้จบไปเลย
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะก้ะะ
มีคน Ask มาถามเรื่องเรียนเยอะมาก เลยกะจะเขียนเรื่องนี้ละเอียดให้จบไปเลย
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะก้ะะ
3 ความคิดเห็น
ขอบคุณค่ะพี่เหมียววว
ReplyDeleteนี่ก็เป็นหนึ่งในคนที่ชอบไปถามพี่เรื่องนี้ 5555
ไม่ชอบท่องตำราอ่านหนังสือเหมือนกันค่ะ แต่ฟังเพลง+ดูรายการญี่ปุ่นบ่อย ตอนนี้ฟังทัน(เฉยเลย) แต่ไม่รู้แปลว่าอะไร ยังไงก็ขอเอาวิธีพี่ไปใช้นะคะ <3
ถ้าอยากอ่านไลโนเวลรู้เรื่องเอาหนังสือไวยากรณ์มาเปิดเทียบเลยจะรู้เรื่องไหมครับถ้าพื้นฐานไม่แน่น
ReplyDeleteก็อาจจะรู้เรื่องขึ้นนะคะ แต่อาจใช้เวลามาก แนะนำให้อ่านแบบskimming งงตรงไหนค่อยหาดีกว่า ส่วนใหญ่สิ่งที่สำคัญสุดคือคำศัพท์ค่ะ แนะนำว่าตอนซื้อหนังสือลองอ่านปกหลังดูก่อนถ้าพออ่านรู้เรื่องค่อยซื้อมา ถ้าไม่รู้เรื่องเลยอย่าเพิ่งเลยดีกว่าค่ะ
Delete