#เหมียวติดเกาะ ไม่ไหวอย่าฝืน แล้วมาฝืนกับสิ่งที่ไหว

เข้าเรื่องเลย หลังจากที่เราย้ายงานที่ใหม่ได้สองเดือน เราก็ออกมาทำงานอีกที่แล้วค่ะ 55555555555555 เดี๋ยวเอนทรี่นี้จะเล่าให้ฟังเท่าที่เล่าได้ว่าเกิดอะไรขึ้น




ก่อนอื่นเลยหลังจากยื่นเรื่องไป เราใช้เวลาเกือบ 2 เดือนกว่าจะออกจากบริษัทเก่ามาได้ เพราะบุโจวคือสุดยื้อ แกล้งลืมไม่เดินเรื่องแล้วยื่นข้อเสนอมากมายให้อยู่ต่อ แต่ใจฉันมันไม่อยู่แล้ว (แม้ตอนนี้จะแอบเสียใจก็เถอะ) สาบานเลยช่วงนั้นเรายุ่งมากกกกกกก (ตอนนี้ก็ยุ่ง55555) ไหนจะต้องจัดการชีวิต ไหนจะต้องถ่ายโอนงานและเคลียงานทั้งหมด อ่อต้องสอนงานทั้งหมดให้กับหัวหน้าทีมด้วย งงมะ ใช่เพราะเราเป็นเดอะแบกไง555 นอกนั้นก็เป็นเทศกาลเลี้ยงส่ง 7-8 ครั้งได้มั้ง

(ช่วงนี้ใบไม้เปลี่ยนสีพอดี)


 จนสุดท้ายเราได้ออกจากบ.จริงตอนปลายวันที่ 18 พฤศจิกายนใช่ค่ะ เราต้องเข้าบ.ใหม่วันที่ 1 ธันวา เรามีเวลาเก็บของย้ายบ้านแค่หนึ่งอาทิตย์กับบ้านที่อยู่มาเกือบ 2 ปี จำได้ว่าวันสุดท้ายที่ไปทำงาน เราก็ยังทำงานถึงวินาทีสุดท้าย แล้วนี่ก็ต้องพูดอำลาทุกคนฉันร้องไห้หนักมาก ร้องไห้จนหายใจไม่ออก555555555555555 แบบไม่เคยร้องไห้แบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต คือญี่ปุ่นเขามีวัฒนธรรมเอาขนมไปทักทายทุกคนก่อนลา นี่ก็ทำตาม กุทักไปร้องไป เดินถือกล่องขนมแวะคุยทีละคนแต่ละคนก็พูดซะซึ้งเลยแล้วฉันก็ร้องๆๆ 

(ของขวัญทั้งหมดที่ได้มาวันนั้น มีกระดาษข้อความจากทุกคนที่อ่านแล้วก็ร้องอีก)

(เขารู้ว่าเราชอบสนู้ปปี้เลยส่งตุ๊กตาสนู้ปปี้มาให้ที่บ้านด้วย)

แต่ที่สัมผัสได้อย่างหนึ่งเลยคือความพยายามของเราที่ทุกคนได้อ่านมาตลอดซีรีย์ #เหมียวติดเกาะ มันไม่ได้ศูนย์เปล่า ทุกคนเห็นความพยายาม ความตั้งใจของเรา แล้วเขาก็นับถือเราในฐานะเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง 

วันนั้นเตรียมขนมไป 100 กว่าชิ้น หมดเกลี้ยง ฉันร้องไห้จนแทบสิ้น แล้วกลับมาเข้าประชุมสั่งงานส่งท้ายก่อนลาจาก ซึ่งบุโจวสะพายกระเป๋ารอส่งเราเองเลย ฮือ พ่อคือพ่อ เนี่ยตอนพิมพ์อยู่นี่ก็คิดถึงทุกคนละนะ ไว้ว่างๆจะแว๊บไปหาบ้างดีกว่า ฮือ

หลังจากจบช่วงซึ้งและงานเลี้ยงอำลา เราไม่ได้มีเวลาเสียใจนานเพราะชีวิตต้องมูฟออน ไม่ใช่หรอก ฉันต้องย้ายบ้านค่ะ ถ้าใครเคยย้ายบ้านจะรู้ว่าไม่ว่าจะเล็กรึใหญ่การย้ายบ้านเป็นเรื่องใหญ่เสมอ โดยเฉพาะมนุษย์ที่ของเยอะ ซึ่งเรามองว่าเราเป็นประเภทกกลางๆนะของไม่ได้เยอะมาก และใช่ค่ะ ไม่ได้น้อยค่ะ5555 


เราต้องเริ่มจากการเอาฟูกทิ้ง บ้านเก่าไม่มีเตียงเพราะคิดจะออกตลอดเวลา5555 เอาที่วางทีวีทิ้ง เอาความทรงจำที่มีกับเธอทิ้งไปด้วย นี่ก็ติดตลก แต่จริงนะ ความทรงจำมากมายจริงๆบ้านหลังนี้ จริงๆเราแอบอัดวีดีโอตอนแพ็กของ พร้อมพาทัวร์บ้านก่อนย้ายออกไว้ด้วย แต่ไม่รู้จะมีเวลาตัดตอนไหน เอาเป็นว่าถ้าปีนี้ยังไม่ได้เห็นฝากทวงหน่อยนะ แคปตรงนี้มาทวงเลย คาดว่าลืม55555


เราเริ่มเก็บของวันจันทร์ใช้เวลาเก็บของทั้งหมดใส่กล่องประมาน 3-4 วัน ไม่สิต้องเก็บให้เสร็จเพราะต้องย้ายวันพฤหัสเช้า เก็บจนซึม เก็บจนเพื่อนบอกให้หยุดเดี๋ยวไปช่วย เพราะนี่ซึมจริงๆ คือมันเหนื่อยเว่ย5555



เธอกับฉันความทรงจำมากมายจริงๆ แต่ไม่ต้องตามไปเที่ยวนะ

และแล้ว เราก็มาเยือนบ้านหลังใหม่

บ้านหลังใหม่เราไม่โตเกียวซะทีเดียวอยู่แถวคาวาซากิ แบบติดๆ ฟูตาโกะทามะกาวะ
เป็นสถานที่ๆดีเลย น่าอยู่ ติดอยู่อย่างเดียวคือห่างจากที่ทำงาน 1 ชั่วโมง ทั้งๆที่เป็นหอบริษัท
แล้วการเดินทางคือต้องใช้รถไฟสายเด็นเอ็นโชฟุ ที่ขึ้นชื่อว่าแน่นชิบหาย แน่นจริงแก แบบในหนังเลย


บ้านใหม่เราขนาดถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาน 7.5 เสื่อ เล็กกว่าบ้านเก่าพอสมควร เพราะบ้านเก่าน่าจะราวๆ 9-10 เสื่อได้ ห้องเราค่อนข้างคอมแพ็คเลยแต่ว่าอยู่ได้ด้วยการจัดสรร layout ใหม่

เราค่อนข้างชอบที่นี่นะ ด้วยความที่ตึกใหม่ห้องใหม่ แล้ว layout จัดง่าย แสงสวยด้วยชอบ


ใช่ค่ะที่ฉันบอกละเอียดขนาดนี้เพราะฉันออกมาแล้วไง5555555555 

โอเค ขอโทษก่อนเลยที่ไม่มีเรื่องดีๆมาเล่า หลังจากย้ายบ้านเสร็จอะไรเสร็จวันที่ 1 ธันวาเราก็เดินบิดตูดเดินเข้าบริษัทใหม่ ด้วยอินเนอร์ว่ากุสวยสุดในรุ่นซึ่งจริงเพราะในรุ่นมีแต่ผู้ชาย(อีกแล้ว)

จริงๆเคยเล่าในทวิตเตอร์แล้วแหละแต่จะพยายามเล่าอย่างละเอียดเท่าที่จะได้นะเพราะลืมไปเยอะละ
เริ่มจากวันแรกที่เข้าบริษัทไปเลย ก็ทั่วไปเลยมีเทรนนิ่งก่อน 2 วัน เอาจริงเราเริ่มรู้สึกว่าที่นี่ไม่น่าเวิร์คตั้งแต่วันแรกที่เทรนนิ่งละ คือมันแปลกหลายอย่าง แต่เล่าไม่ได้ติด confidencial แต่คร่าวๆว่าด้วยความที่บริษัทเป็นบริษัทใหญ่และเก่าแก่(กว่าบ.เก่า) แต่มันเคยมีอุบัติเหตุที่ทำให้อิมเมจของแบรนด์ในประเทศเละเทะเป็นโจ๊กไม่เป็นท่า 2-3 ครั้ง ตอนนั้นก็คิดละว่าบ.นี้มันมี workflow ยังไงวะถึงเกิดเหตุแบบนี้ซ้ำๆได้หลายครั้ง

อ่านมาตรงนี้ถึงพวกเธอจะอยากรู้ว่าบ.อะไรฉันก็ไม่บอกอยู่ดี55555

ยังไม่รวมความโบราณใดๆ โบราณจนตกใจ ขนาดวินโดว์ยังใช้เวอร์ชั่นต่ำกว่า 2010 เลยอะแก ตอนแรกแน่นอนว่าเราคิดจะปรับตัวอยู่แล้ว จนมันเกิดเหตุอะไรหลายๆอย่างที่เป็นบทเรียนชีวิตเลยว่า 
'ถึงเราจะทำได้ แต่เราจะทำงานอะไรก็ได้ ไม่ได้!!'
.
.
.



งานใหม่ของเราคือ connected car develop งงใช่ไหม ใช่ค่ะ ฉันนี่แหละตัวตึง55555 (เอาจริงๆมันไม่เหมือนที่คุยเอาไว้ตอนสัมด้วย)แต่งานมันไม่ได้ตึงอะไรมากนะ มันคือการเทสแล้วก็คอมเมนต์ให้วิศวกรต่างชาติพัฒนาต่อ แล้วตรวจว่าที่เขาทำมามันใช้ได้ไหม ตามตารางรึเปล่าอะไรแบบนี้ มันมีช็อตนึงเว่ยที่เราให้ใครฟังก็ไม่เข้าใจ คือมันมีวันหนึ่งที่เราต้องไปเทสแอปที่โกดังเก็บรถ เราไปกับเมนเทอร์ของเรา(เป็นสาวชาวจีนที่ใจดีมากๆ) ซึ่งงานหลักของเมนเทอร์เราคือเทสและคอมเม้น ทำให้เขาต้องมาโกดังนี้ทุกวัน

ซึ่งโกดังนี้ หนาวมาก!!! ตอนนั้นมันเป็นช่วงกลางธันวา อากาศหนาวแต่ก็ไม่หนาวถึงขั้นว่าหนาวสั่น แต่ในนั้นมันหนาวมาก ด้วยความที่เป็นโกดังขนาดใหญ่ แล้วมีแต่เหล็กแล้วคือหนาวมาก 

ทุกคนนั่งสั่นหงึกๆ แล้วเมนเทอร์ซึ่งเราได้เจอวันแรกเขาหนาวจนแบบสั่นไปทั้งตัว ขนาดนั่งหน้าฮีตเตอร์แล้วยังหนาวอะ ตอนนั้นคิดเลยทำไมชีวิตกรูต้องมาทรมานกายหยาบขนาดนี้ 

ทุกคนอาจจะคิดว่าโหย เหมียวมันไม่อดทน มันลูกคุณ เออจะคิดแบบนั้นก็ได้ แต่เราไม่เคยต้องลำบากกายหยาบขนาดนี้มาก่อนในชีวิตการทำงานไง อย่างมากก็หนักหัวอะ เราไม่ใช่คนที่แข็งแรงพอจะทำงานลำบากกายหยาบไง 

อีกอย่างที่เราคิดคือทำไมบริษัทถึงให้คนมาทำงานบรรยากาศแบบนี้ซึ่งมันไม่ควรจะเป็น นี่ติ๊กละนะ

ปล.สุดท้ายวันนั้นเมนเทอร์เราต้องกลับบ้านก่อนเพราะกายหยาบสู้ไม่ไหว แล้วมารู้อีกทีว่าชีเป็นโควิด โอ้โห ดีนะฉันยังรอดไม่ติดก่อน

แต่หลักๆที่ตัดสินใจว่ากุไม่น่าไหวคือระบบการทำงานที่นี่แหละหัวหน้าโดยตรงของเรา บ.ใหม่ค่อนข้าง global มีต่างชาติเยอะกว่า บ.เก่าเยอะเลยตอนแรกก็ตื่นเต้น ดีจังมีเพื่อน หารู้ไม่ความชิบหายบังเกิดละ หัวหน้าเราเป็นสาวจีนเก่งนะแต่EQต่ำ เวลาคุยละชอบย้อนแย้ง พูดไปแซะไป แซะจนกุงงว่าคุณพี่จะแซะกุทำไม แบบมันคงเป็นนิสัยของเขาที่พูดไปด่าไป แต่ไม่ได้ด่าเล่นอะด่าจริง ชอบพูดเอาดีเข้าตัวจนเราแบบ มองปฏิทินว่า เดี๋ยวนะนี่ฉันเพิ่งเข้ามา 2 อาทิตย์กุต้องโดนด่าว่าทำไมไม่รู้เรื่องขนาดนี้เลยหรอ 

ชีบอกมีอะไรสงสัยถามได้นะ เราก็ถามดิ นางให้งานอะไรมาเราก็ทำไปหาไปเรียนรู้ไป พยายามปรับตัวให้เข้ากับที่ใหม่ให้ไวที่สุด ให้อธิบายนิสัยชีง่ายๆคือ พอเราเข้าทีมมาใช่ไหมทุกคนก็โยนงานให้เราแบบโยนเลยแล้วไปทำอย่างอื่นเราก็โอเค ก้มหน้าก้มตางม แบบให้เราลีดการประชุมทั้งๆที่ไม่รู้ มันมีประชุมหนึ่งที่ให้เช็คความคืบหน้าของ task หรือ เครื่องมือในแอปว่าใช้ได้ไหม เราก็นำทั้งๆที่ยังรู้จักไม่ครบนี่แหละ การประชุมแบบนี้บ.เก่าก็ทำกันบ่อยค่อนข้างชิน ปกติก็เช็คๆถามๆกันในที่ประชุม แต่พอถามเพื่อเช็ค คุณพี่จะแบบโวยวายก่อนชั้นไม่ได้พูดแบบนั้น ทั้งๆที่สถานการณ์คือแค่ตอบไม่ใช่นะตรงนี้ต้องแบบนี้ๆ คือมันต้องโวยวายก่อน แล้วมันเสียเวลาไง

 อีกอย่างหลังจากเข้ามาทำงานได้เปิดคอมดูตารางประชุมแล้วฉันรู้เลยว่าที่นี่ black company แน่นอน เพราะเวลาเลิกงานน่าจะประมาน 17:30(ไม่แน่ใจนาทีเพราะไม่เคยได้เลิกอยู่ละ) แต่ คุณพี่มีประชุมถึง 20:30 ทุกวัน! ย้ำว่าทุกวัน เนื้อหาการประชุมคือฟังคุณพี่คนข้างบนโวยวายใส่คนในทีม ส่วนใหญ่นะเราจะเริ่มงานตั้งแต่ 8:45 แล้วเลิกงานประมาน 21:00 ยังโชคดีที่ส่วนใหญ่เป็น work from home ถ้าวันไหนต้องเข้าออฟฟิศนะ โหหหหห กระเพาะแทบขาด ด้วยกระเพาะเรามันเปราะบางยิ่งกว่าใจเธอ หลังจากเข้างานที่นี่ได้ไม่ถึงอาทิตย์ เราเริ่มมีอากาศปวดท้องขั้นรุนแรงในทุกวัน เข้าใจว่าน่าจะเกิดจากความเครียดและการเลิกงานที่ดึกชิบหายและไม่มีประสิทธิภาพด้วย ช่วงนั้นเหม่อเลย แต่ก็ยุ่งมากเพราะหลังจากเข้ามา 2 วีคต้องไป business trip ต่างถิ่นกับอิเจ๊ละ งานยุ่งมากใช้ชีวิตแบบแค่กินนอนทำงานแค่นั้นเลย

ตอนนั้นเหนื่อยมากแต่ไม่ไหวแล้วเลยตัดสินใจกลับไทยแบบกลับเลย


(เห็นการโยนของเข้ากระเป๋าน่าจะเข้าใจถึงความหัวร้อน5555)

แล้วเราก็กลับไปตั้งหลักที่ไทยยาวๆ แบบยาวที่สุดเท่าที่จะลาได้ละ เลื่อนไฟลท์กลับให้ช้าลงด้วยนะ ตอนนั้นคือเครียดมากบอกตามตรง (แต่หลังจากนั้นเครียดกว่า) คิดว่ากุจะเอายังไงกับชีวิตดีวะ เท่าที่รู้ตอนนี้ไม่อยากกลับญี่ปุ่นเลย ไม่อยากกลับที่สุดเท่าที่เคยมีมา (ปกติอยากกลับ555555) 

เราเลยมานั่งคิดอีกก๊อกหนึ่ง ว่าทำไมฉันถึงไม่อยากกลับขนาดนี้วะ ทั้งๆที่ไม่เคยเป็น
จริงๆตอนนั้นก็รู้แล้วแหละว่าต้องทำไง เลยกลั้นใจกลับญี่ปุ่นทั้งๆที่ไม่อยาก ฉันน้ำตาไหลที่สนามบินด้วยนะ ครั้งแรก

โอเคกลับมาทำงานค่ะ ฮึบ



หลังจากกลับมาทำงานวันหนึ่งวีค พร้อมความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยวแต่ก็ยังมีความลังเลอีกเล็กน้อย จนอิเจ๊เมล์มาด่าเราหนึ่งหน้ากระดาษจำเนื้อหาไม่ได้แล้วแต่วันนั้นเราตัดสินใจเลยว่า 
.
.
.
กุไม่อยู่ละอิเหี้ยมึงทำเองเลย
ใช่ค่ะ วันนั้นเราส่งจดหมายลายออกให้คะโจวเลย โดยอ้างป่วย555555 ปวดท้องไม่ไหวแล้ว(แต่ตอนนั้นปวดจริง ปวดจนอาจจะถึงขั้นต้องส่องกล้องดูเลย)





แหม่พูดไปความจริงเราไปดูส่องบ้านใหม่รอตั้งแต่ก่อนปีใหม่ละ5555555555555 ทีนี้เรื่องมันไวมาก ทำเรื่องออกแล้วก็เข้าที่ใหม่ แล้วก็ย้ายบ้าน ซึ่งครึ่งเดือนหลังมกราจริงๆมันพีคกว่านี้อีก

แต่มันจะขัดมู้ดข้างบนไหมนะ5555 ช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับตอนที่กำลังลาออกเราก็เข้าไปช่วยงานที่ใหม่พอดี ขอเขียนเท่าที่เขียนได้แล้วไปเดาเอาเองนะ งานใหม่ของเราคือสาย Entertainment แล้วงานแรกของเราคือการทำแฟนมีตติ้ง(ที่ญี่ปุ่น) แล้วเราเข้าไปช่วงก่อนแฟนมีต 2 อาทิตย์ได้โอ้โห แม่งพีคมาก พีคแบบที่เล่าออกสื่อไม่ได้ แต่เอาเป็นว่าช่วงนั้นเตรียมงานกันยันดึกทุกวัน กลับถึงบ้าน เที่ยงคืนครึ่ง ตี1 ทุกวัน(บ้านเก่าไกลด้วย)


พวกเราโหมกันจนถึงวันจริงที่แทบไม่ได้นอน ซึ่งวันนั้นส่วนตัวถือว่าเป็นไปได้ดีกว่าที่คิดเอาไว้แบบมากๆ เพราะที่คิดเอาไว้มันยิ่งกว่านี้มากๆ ที่ชอบพูดให้พี่ฟังว่าค่าประสบการณ์มันราคาแพงเสมอ และนี่คือครั้งแรกของพวกเรา จะดีจะร้ายก็ครั้งแรก มีปัญหาอะไรก็แก้กันไป นั่นแหละ จนงานแฟนมีตจบไป เราว่าเราโชคดีด้วยที่ได้ทีมศิลปินที่น่ารัก น้องๆศิลปินและผจก. ทีมงานทุกคนน่ารักมาก ช่วยเหลือกันผ่านพ้นไปได้

แต่นรกมันอยู่หลังจากนั้น

หลังจากจบแฟนมีตปุ๊บได้เอาหลังหย่อนเตียงได้หนึ่งคืนวันถัดมาเราก็ต้องไปอีเวนต์เลยแล้วก็ต่อด้วยการย้ายของเก็บบ้าน55555555555


ยังไม่จบเราก็มีโปรเจคต่างๆต่อเลยแบบไม่มีพัก (ซึ่งไม่ใช่เรื่องหนักหนาเท่าแฟนมีตอยู่แล้ว) แต่มันเกิดความประหลาดขึ้นในตัวเรา พอการเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นอย่างฉับพลันมากๆ ทีนี้เราเกิดอาการนอนไม่หลับ และกินข้าวไม่ได้อย่างรุนแรง อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

(มาคิดดูตอนนี้อาจจะเป็นเพราะอากาศหนาวก็ได้นะ ทำให้ร่างกายแปรปรวน)



จริงๆเรารู้เหตุผลและว่าเพราะอะไร ความไม่เคยชินก็ใช่ ความ culture shock ก็ส่วนหนึ่ง คือแฟนคลับเค้าก็มีฟีทแบคต่างๆ(ด่านั่นแหละ) แล้วพอคนทำงานอะ ยิ่งอ่านยิ่งเครียด ยิ่งเจอยิ่งเก็บ ยิ่งท้อ เราคิดว่ามันคงเป็นเรื่องธรรมดาเพราะฉันที่เป็นติ่งท่านหนึ่งก็ด่าค่ายเป็นงานอดิเรกอยู่แล้วไม่ต่างกัน มันคงเป็นปกติของสายนี้ด้วย พอเราเจอมากๆเข้าทีนี้มันคงเป็นความเครียดสะสมจนเราเริ่มควบคุมไม่ได้ นอนไม่ได้ กินก็ไม่ได้ โดยที่ไม่รู้ตัว 

ขอเขียนถึงอาการนี้ละเอียดหน่อยละกัน เราสังเกตตัวเองมาพักใหญ่ว่าเราช่วงปีที่ผ่านมาเริ่มมีอาการซึมๆหงอยๆก่อนปจด.มา หรือมีอาการที่เรียกวา PMS (กลุ่มอาการที่มีความผิดปกติทางร่างกายและทางจิตใจในช่วงระยะเวลาก่อนจะมีประจำเดือนประมาณ 1 สัปดาห์ แต่พอหมดประจำเดือนอาการนั้น ๆ จะหายไป) ทุกคนลองไปหาข้อมูลดูนะ แต่หลักๆคือแต่ละคนจะมีอาการต่างกัน บางคนก็จะเหวี่ยงรุนแรง ส่วนเราคงจะเป็นการซึมอย่างรุนแรง ซึ่งแรงขนาดนี้เป็นครั้งแรก เราไม่ยินดียินร้าย ไม่สบายใจ เหมือนมันหนักอกอยู่ตลอดเวลา โชคดีเรามีเหตุให้กลับไทยพอดี เลยได้ไปหาหมอที่ไทย ตอนแรกจะไปหาจิตแพทย์นี่แหละ แต่ดูทรงแล้วน่าจะไปหาหมอสูตินารีน่าจะตรงกว่าเราเลยไปหาหมอสูก่อน เข้าไปหมอก็ยิ้มต้อนรับ แล้วก็พูดว่ามาเรามานั่งคุยกันเลย คุณหมอน่ารักมาก เขาก็อธิบายว่าไม่เป็นไรนะมันเป็นเรื่องปกติ คนเป็นกันเยอะแหละแต่ไม่ค่อยรู้ตัวกันส่วนใหญ่อาจจะออกมาในท่าทางที่ดูหงุดหงิดซะมากกว่าเลยไม่เดือดร้อนตัวเองเท่าไหร่



ส่วนที่มีอาการซึมอย่างเรามันควบคุมยากนิดหนึ่งเลยต้องรับยามาช่วยปรับฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งยาที่หมอให้เรามีคือยาคุมค่ะ ยาคุมกำเนิดนี่แหละ หมออธิบายให้เราฟังว่าจริงๆยาคุมเนี่ยไม่ได้ใช้คุมกำเนิดอย่างเดียวมันสามารถควบคุมอาการต่างๆที่เกิดจากประจำเดือนได้ด้วย เช่น อาการปวดท้อง ปวดหลัง ปวดหัวตอนปจด.มา รวมถึงอาการ PMS ของเรา จริงๆผู้หญิงกินยาคุมรักษาอะไรสักอย่างกันเยอะมาก เขาแค่ไม่พูด พอฟังหมอพูดแบบนั้นเราเลยไปลองถามเพื่อนสาวรอบตัว พบว่า เกินครึ่งกินอยู่จริงๆ555555555555 /แต่ใดๆทุกคนอย่าซื้อยามากินเองนะ ควรไปหาหมอก่อน หมอบอกให้เรากินยาสัก 3 เดือนก่อนแล้วค่อยนัดดูอาการ 

แต่หมอพูดกับเราว่าเอาจริงปะ กินไปครึ่งแผงก็รู้แล้ว ซึ่งตามที่หมอบอกเลย เรารู้เลยว่ากุมาถูกโรคละ ตั้งแต่กินได้ 3 เม็ดแรก เราค่อยๆกลับมาเป็นเหมียวคนเดิมอย่างรวดเร็วราวกับปาฏิหารย์5555555555555555555555 

และนี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้น เท่าที่พอจะเล่าได้ เพราะได้มาทำงานสายนี้จริงๆแล้วเรารู้สึกว่าเรื่องของเรามันไม่ใช่เรื่องของเราอีกต่อไปมันสามารถกระทบใครอีกหลายคนได้มากมายไปหมดแบบที่ตัวเองนึกไม่ถึงเลยไม่ขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับงานเยอะมาก ไว้จะเขียนๆเก็บไว้เผื่อมันมีวันที่เอาออกมาเล่าแล้วทุกคนสามารถขำกับมันได้ ทุกคนคงจะได้อ่าน อาจจะเป็น 5-10 ปีต่อจากนี้ ถ้าไม่หายกันไปก่อนคงได้เมาท์มอยกันนะ55555

อีกอย่างตอนนี้นอกจากงานประจำที่ค่อนข้างยุ่งแล้วเรากำลังแปลหนังสือเล่มใหม่อยู่ด้วย บอกเลยว่าเล่มนี้แปลเข้ามาแล้วเนื้อหาดีมากๆ อยากแปลแล้วให้ทุกคนอ่านไวๆมากค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ ปีนี้ น่าจะแปลเสร็จ

ติดตามตอนต่อไปจ้า

3 ความคิดเห็น

  1. อ่านมาตลอด​ ตามในทวิต เหนเคยบ่นว่าไม่มีใครเม้นเลย​ เม้นหน่อยละกัน
    จากคนที่พยย.เทงโชขุอยู่​ อ่านละรีเลทตรง​ "ไม่มีเตียงเพราะคิดจะออกตลอดเวลา" มากคับ​ 🤣🤣🤣

    ReplyDelete
  2. อ่านทุกบรรทัดเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ ❤️

    ReplyDelete
  3. เป็นสาวไทยใจสู้ทำงานในญี่ปุ่นเหมือนกันค่ะ อ่านตามมาจากทวิตเตอร์ อ่านเรื่องของคุณเหมียวแล้วรู้สึกเหมือนมีเพื่อนสู้ไปด้วยกัน ถ้าคุณเหมียวสะดวกและมีเวลาอยากให้เขียนแชร์เรื่องย้ายบ้านหน่อยค่ะ เพราะเท่าที่อ่านย้ายถี่แบะมีความปุ๊ปปั๊ปมาก อยากจะเอาไปเป็นข้อมูลอ้างอิงในการย้ายบ้านของตัวเองบ้างค่ะ 55555

    ReplyDelete