ย้ายงานครั้งแรกในชีวิต บายยยย #เหมียวติดเกาะ

หลังจากการต่อสู้มาอย่างยาวนานนนนนนนนน ซึ่งสามารถไล่ไทม์ไลน์ตามอ่านคร่าวๆได้ในเอนทรี่ #เหมียวติดเกาะ นี่แหละว่านานแค่ไหน แต่ให้เรานับก็น่าจะราวๆ 2-3 ปีได้ปะที่เราเริ่มหางานใหม่อะ

ใช่แล้วค่ะ ชาวบล็อค "เราได้งานใหม่แล้ว" ณ เวลาที่เขียนนี้งานใหม่จะเริ่มเดือนธันวาคม ซึ่งเราจะยกเรื่องที่ทำงานใหม่และขั้นตอนการย้ายบ้าน ย้ายเขต เอกสารต่างๆอะไรไปไว้เอนทรี่นู้นเลยเพราะตอนนี้ยังไม่ได้ทำ555555 เอาเป็นว่าเราจะไล่ไทม์ไลน์ต่อจากเอนทรี่ที่แล้วนะไปจนเรื่องการย้ายงานนะ (ใครอยากอ่านเฉพาะพารท์ย้ายงานก็เลื่อนไปล่างๆเลย)




ถ้าให้ย้อนไปเราจำอะไรไม่ได้เลยสาบาน (อ่าว) แต่เท่าที่รู้สุขภาพจิตเราเข้าขั้นวิกฤตก็ได้หลังจากมีโอกาสได้กลับไทยครั้งแรกตั้งแต่มีโควิดมาตอนช่วงพฤษภา 

พอไม่ได้กลับไทยนานๆก็อาจจะเกิดอาการทำไมกุต้องมาลำบากอยู่ที่นี่ด้วยวะ (มั้งนะจำไม่ได้) ที่จำได้คือเราเกิดอาการบลูอาทิตย์เว้นอาทิตย์เลย งานเราก็ยุ่งมาก และที่พีคคืออิหัวหน้าทกฮช.คู่ปรับตลอดกาลนางเด้งจ้าาาา ทุกคนอาจจะคิดว่าเฮ้ยก็ดีสิ ใช่ตอนนั้นฉันก็คิด เพราะช่วงก่อนย้ายแม่งไม่ทำงานทำการทำห่าอะไรเลยจริงๆนะ ประกอบกับทีมเราปกติมี 2 คนก็มีลุงผู้กลับมาทำงานหลังเกษียรและลุงอีกคนนึงย้ายมากลายเป็น 4 คน ทกฮช.เด้งไวมากแก แบบเรารู้ล่วงหน้าแค่ 3 อาทิตย์เองมั้ง (แล้ว 10 วันในนั้นเราไม่อยู่ด้วยเพราะกลับไทย) ตลกมากที่คนระดับหัวหน้าทีมจะย้ายทั้งทีไม่มีใครลำบากอะไรเลย ไม่มีการถ่ายงานอะไรให้ใครเลย เพราะอะไรหรอ เพราะแม่งไม่มีงานอะไรในมือตั้งแต่แรกไง จัญไรทั้งตอนอยู่และไม่อยู่เลยจ้า 

(เบื้องหลังการถ่ายทำงานๆหนึ่ง ซึ่งเหมียวทำหน้าที่เป็นเดอะแบกของทีมไปเลย)

พอหัวหน้าทีมเด้ง ทีมมันต้องมีหัวหน้าไงแก ลุงที่เพิ่งย้ายมาใหม่ก็ส้มหล่นได้เป็นหัวหน้าไป เพราะเราเด็กเกินส่วนลุงอีกคนเกษียรแล้วรับตำแหน่งไม่ได้ ตอนแรกก็ไม่ไรหรอกใครจะเป็นไรยังไงเงินเดือนเราก็ไม่ได้ขึ้น พอทำไปได้ 2 วันจ้ารู้เรื่องเลย เพราะหัวหน้าคนใหม่(จะเรียกว่าลุงโม่ละกัน) อิลุงโม่เนี่ยด้วยความที่เพิ่งย้ายมาได้ไม่นาน ทกฮช.บอกตัวเองถ่ายทอดวิชาทั้งหมดให้ลุงโม่แล้ว ลุงโม่ก็ดูงงๆ เราก็เข้าใจว่าเออเขาเพิ่งย้ายมาได้ไม่ถึง 2 เดือนอะนะจะไปรู้เรื่องได้ยังไง ไปๆมาๆ คือลุงโม่แม่งเป็นโรคเดียวกับทกฮช.เว่ย คือไม่ทำงาน!




ทีนี้แหละจากที่แบกอยู่แล้วแบกหลังหักเลยเพราะต้องสอนงานลุงโม่ด้วย แล้วลุงโม่พอเห็นเราทำได้นางก็คงคิดในใจว่าเออกุไม่ทำก็ได้เพราะยังไงอิเหมียวนี่ก็ทำให้หมดอยู่ละ คือลุงโม่ทำห่าอะไรไม่ได้เลย ทำงานทุกอย่างช้า ตอบเมล์ก็ช้า จนเรางงว่ามันทำงานปะวะ รวมๆคือลุงโม่หนักกว่าอิคนเก่าอีกเพราะอย่างน้อยทกฮช.ก็ตอบเมล์ไว ทำงานได้  ข้อดีเดียวของลุงโม่คือเขาไม่ปากหมาด่าเรา เพราะเราถือไม้เหนือกว่าเยอะ ในฐานะเดอะแบก 

พอหัวหน้าทีมเป็นลุงโม่นะ เราแบกทีมหนักจนกายหยาบบอกแล้วไม่ไหว เราไม่ได้ทำงานหนักเลิกดึกนะแต่เราปวดท้องทุกวัน! ทุกวันจริงๆ พูดแล้วดูเหมือนเหยียดแล้วนิสัยแย่มาก แต่ขอเล่าหน่อย คนเรามันจะมีลักษณะนิสัยที่ตัวเองรับไม่ได้อยู่ ภาษาญป.เค้าเรียกว่า 生理的に無理 ไม่รู้จะแปลเป็นไทยยังไงเลย ลักษณะการพูด ท่าทาง ทุกอย่างของลุงโม่เราไม่โอเคจริงๆ เราขอไม่อธิบายว่าเขาเป็นแบบไหนเพราะฉันก็รู้สึกผิดที่ไปขนลุกใส่เขา แต่เธอเข้าใจไหมมันขนลุกเอง มันขนลุกขึ้นมาจริงๆแล้วเรารู้สึกต่อต้าน เราไปถึงจุดนั้นแล้ว ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไรแต่เราต้องกินยาลดกรดในกระเพาะทุกวันเลยเพราะเราปวดท้องรุนแรงมาก ที่เล่าไปทั้งหมดคือสถานการณ์ที่ทำงานแบบคร่าวๆทั้งหมด




ทีนี้มาคุยกันเรื่องย้ายงาน เราไม่เคยหยุดหางานใหม่เว่ย ในระยะเวลาที่ผ่านมาเราก็ยังใช้บริการของบริษัทจัดหางานที่เคยแนะนำไปก่อนหน้านี้แล้ว เราได้งานจาก パソナใครสนใจอยากได้คอนแทคทักมาได้นะเดี๋ยวแนะนำให้ ซึ่งเค้าดูแลเราดีมาก 

เราจับจุดได้แล้วทุกคนเคยได้ยินความญี่ปุ่นปะที่เขามักจะพูดว่าให้ทำไป 3 ปีก่อนค่อยออก มันเป็นแบบนั้นจริงๆเว่ย ปีนี้ 2022 เราทำงานเข้าปีที่ 4 แล้วใช่มะ เท่ากับว่าเราทำงานที่นี่มา 3 ปีแล้ว มันต่างกันมากเว่ยยย ที่ผ่านมาแค่ยื่นเอกสารเราก็ตกแล้วอะ แต่พอทำงานได้ 3 ปี เอกสารแผ่นเดิมเลยนะ ปรับเนื้อหานิดหน่อยตามกาลเวลา แต่เราได้เข้าสัมเกือบทุกที่เลยเว่ย เออตลกดีเหมือนกัน แล้วก็ได้สัมภาษณ์บริษัทดีๆทั้งนั้นเลย ทีนี้บริษัทส่วนใหญ่อะ 

พอเอกสารผ่านเขาจะให้ทดสอบ ส่วนใหญ่จะเรียก 適性検査 หลายคนเคยอ่านบล็อคฮาวทูหางาน มาแล้วใช่ไหม การสอบคือแบบเดียวกันเลย ที่เจอมาส่วนใหญ่จะเป็น SPI ซึ่งเป็นการสอบคณิตศาสตร์พื้นฐาน(สำหรับคนจบสายศิลป์แบบเรา) ทดสอบภาษาญี่ปุ่น และลักษณะนิสัย ใครไม่เจอนี่ก็บุญไปนะ แต่เราเจอทุกบ.เลย หลายที่ก็ตกเราเลยก็ต้องมานั่งฟิตกันหน่อย ซื้อหนังสือมาเรียนวนไปจ้า

(ตัวอย่างข้อสอบของจริงก็แบบนี้แหละ อ่านให้ทันก็บุญหัวละ)


ข้อสอบภาษาญี่ปุ่นน่าจะเป็นพวกความสัมพันธ์กันอะ บอกเลยว่าไม่รู้จะแนะนำยังไงเพราะเราก็มั่ว555555555 เอาเป็นว่าขอให้ดวงนำพาทุกคนละกันนะ ลองไปหาข้อมูลเพิ่มกันดู 

ทีนี้พอได้มีโอกาสสัมหลายที่ เราก็ทะลุไปรอบสุดท้ายหลายบ.แบบงงๆ อย่างที่เคยเล่าว่าเรามักจะเลือกงานจากคนสัมเสมอ เพราะส่วนใหญ่คนที่สัมเราจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับสายงานเราโดยตรงรึอาจจะเฉียงๆ แต่ก็มีส่วนแน่ๆ 

ที่ฝังใจสุดเลยนะมีบ.นึง เราสัมภาษณ์กับฝ่ายบุคคลรอบแรก เราสมัครตำแหน่งหนึ่งไปเว่ย แต่เขา offer อีกตำแหน่งนึงมาเป็นงานเกี่ยวกับนักแปล (งานปัจจุบันเราทำ Marketing Communication) ก็โอเคได้ทำงานกับไทยลองคุยดูไม่เสียหาย พอวันสัมจริง เขาไม่ได้เปิดช่องให้เราพูดเลยเว่ย นั่งวิจารย์คะแนนสอบของเราว่าคะแนนภาษาญี่ปุ่นไม่ดีเลยแต่ได้คณิตเยอะ แล้วก็อธิบายงานว่าแบบนี้นะ งานนี้มันต้องใช้ความเข้าใจทางภาษาญี่ปุ่นเยอะนะ จากการได้คุยกันวันนี้บอกตามตรงว่าอยู่ที่อื่นคุณอาจจะเก่งญี่ปุ่น แต่คนไทยที่อยู่ในบ.เราอะเก่งกว่าเธอ (ฮะ?) ทุกคนจบฬมา ฉันขอจดบันทึกไว้ตรงนี้เลยว่านี่เป็นครั้งแรกหลังจากเรียนจบมหาลัยมาแล้วโดนเหยียดมหาลัย 

หลังเคืองตรงที่ตอนสัมเขาไม่เปิดช่องไฟให้เราพูดเลย เขามาตัดสินว่าเราพูดไม่ค่อยได้ โอเคเราอาจจะไม่ได้เก่งมาก แต่อย่างน้อยกรูก็มีงานแปลมากมาย หนังสือยังแปลมาแล้วช่วยสละเวลาว่างอ่านประวัติคนสัมก่อนได้ไหม คือเราตัดสินใจแล้วแหละว่ากรูไม่เอาบ.นี้แน่ๆ เราสัมผ่านนะ แต่เราเททั้งๆที่คนได้ยินชื่อคงมีแต่คนอยากเข้าอะ แต่บาย เราจบกันตรงนี้




เราก็สัมไปหลายบ.แต่ไม่เจอบ.ที่สปาร์คจอยสักทีจนมาบ.ที่ได้ ตลกมากช่วงที่สัมกับบ.นี้เรายุ่งมากเว่ย ยุ่งมากๆๆๆๆ จนลืมทำสอบก่อนสัมภาษณ์รอบแรก (ถ้าไม่สอบก่อนเขาจะไม่ให้สัม) แล้วเรามารู้ตัวอีกทีหลังจากเลยเดธไลน์ไปแล้ว เป็นหนึ่งวันก่อนสัมรอบแรก เราก็คิดละว่าเออช่างแม่งไม่สัมก็ไม่สัมก็ได้วะ เราผิดเอง ก็โทรไปคุยกับคนที่ดูแลเราว่า ขอโทษจริงเราลืมทำแบบทดสอบ เขาก็บอกโอเคไม่เป็นไร ถ้าลิ้งยังเข้าได้อยู่ก็กดเข้าไปทำก่อนเดี๋ยวเขาคุยกับทางบ.ให้ โอเคเราก็ทำ

จนวันสัม คือขอเล่าว่าสัมรอบแรกเกิดเหตุขัดข้องเราโดนเลื่อนสัมไปก่อนหน้านี้ เพราะอีกฝ่ายยุ่ง ทีนี้เราดั้นจำเวลาสัมผิดว่าสัม 10:30 แต่ความจริงสัม 10:00 เดชะบุญมากที่เรากดไปเช็ครายละเอียดอีกรอบ ตอน 9:52 เราก็แบบชิบหายตอนนั้นยังใส่ชุดนอนอยู่เลยรีบวิ่งไปเปลี่ยนชุด จัดหน้าผมให้เป็นคน ซึ่งตอน 9:50 เราต้องเทสกล้องกับเสียงกับทางบ.ต้นทาง = กุสายค่ะ ก็เข้าไปตอน 9:57 ฝ่ายบุคคลก็ใจดีนะ แล้วก็ย้ายไปห้องสัมได้ทัน 10:00 พอดีเด๊ะ 

ปกติเรื่องเวลาเราเป็นคนไม่ค่อยพลาดเลย แต่รอบนี้พลาดหนักมาก สองเด้งแล้วคิดว่ายังไงก็ตก ตอนสัมก็ชิวๆปล่อยจอยเลย คิดอะไรก็พูดไป ดั้นนน เข้าขากับคนสัม (เข้าใจว่าเป็นคะโจวโดยตรง) สัมผ่านรอบแรกมาแบบงงๆ จนได้สัมรอบสองกับบุโจว ก็ดูเข้ากันได้ดี จนผ่านได้ไนเทมาในครอบครอง 
พอสัมหลายบ.แล้วรู้เลยว่าเออพอเราเจอบ.ที่น่าจะฝากผีฝากไข้ได้เราจะไม่ลังเลสักนิด




เราได้ไนเท วันที่ 20 เดือนกันยน 21 เราไปคุยกับบุโจวทั้งน้ำตาเลยว่าเราจะออก
หลังจากวันนั้นมาก็เป็นการต่อสู้กับความกังวล ต่อสู้กับสุขภาพจิตของตัวเองตลอดระยะเวลาเกือบ 2 อาทิตย์ ตอนนี้ทีมเรารู้แล้วว่าเราจะออก ลุงโม่กระตือรือร้นจะทำงานทำการขึ้นมาทันทีเพราะรู้ตัวว่าตัวเองชิบหายแล้ว ตอนที่เราบอกจะออกบุโจวพูดกับเราคำนึงบอกว่า "ที่ให้ลุงโม่เป็นหัวหน้าเพราะคิดว่าเราอยู่ยังไงก็รอด แต่ถ้าเราออกสงสัยต้องเอาลงแล้ว" เราสนิทกะบุโจวมากนะ (คะโจวกะบุโจวเราคือคนเดียวกันในตอนนี้) แต่แอบแค้นว่านี่รู้อยู่แล้วนี่ว่าเราแบกอะ รู้แก่ใจด้วยว่าลุงโม่ไม่ทำงาน ทำไมไม่คิดจะเรียกลุงโม่ไปคุยวะ เพราะเราเคยคุยเรื่องนี้กันก่อนที่จะตัดสินใจออกแล้ว

การจะออกจากบริษัทไม่ง่ายเลยเหมือนตอนเข้าเลย เข้าก็ยากออกก็ยาก ไม่ใช่ว่าจะออกได้ทันทีมันมีขั้นตอนเยอะมาก ตอนนี้ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เท่าที่รู้คือ ต้องใช้เวลาเกือบ 2 เดือนเลยกว่าจะออกได้ เอาเป็นว่า เอนทรี่หน้าเราจะมาเจาะลึกอีกที แล้วถ้าไม่ลืมจะมาเขียนเล่าเทคนิคการสัมที่เรียนมาจากบ.จัดหางานอีกทีนึงด้วย

หวังว่าเอนทรี่หน้าเราจะเรื่องดีๆมาเล่าให้ทุกคนฟังนะ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ค่า
ใครอ่านแล้วมีความเห็นอะไรคอมเม้นบอกกันได้นะ เรารออ่านอยู่

1 ความคิดเห็น

  1. สนุกมากค่ะ เพิ่งรู้ว่าญี่ปุ่นเขามีธรรมเนียม3ปีเปลี่ยนงานได้ ตัดปัญหา hop jobberได้เลย

    ReplyDelete