#เหมียวติดเกาะ การต่อสู้กับเบญจpace

 มีอะไรเกิดขึ้นหลายๆอย่างจนไม่รู้จะเริ่มเล่าจากไหนเลย เรามักจะได้ยินว่าชีวิตคนเรามันมีช่วงขึ้นช่วงลง เราพูดเสมอว่าชีวิตเราเหมือนขึ้นรถไฟเหาะอยู่ตลอดเวลา มารู้อีกทีรู้สึกว่าทำไมรถไฟของเรามันสูงขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆทุกปียังไงไม่รู้ แบบนี้รึเปล่าที่เค้าเรียกว่า "เป็นผู้ใหญ่แล้ว" 

.

.

.

ตกใจทุกครั้งที่กลับไปดูเอนทรี่เก่าแล้วรับรู้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันเกิดแค่ในระยะเวลา 2-3 เดือนนี้เอง แต่ครั้งนี้ตกใจเป็นพิเศษ จนเริ่มสงสัยว่าเมื่อไหร่เราจะได้ลงจากรถไฟเหาะสักที อยากไปนั่งอย่างอื่นบ้างแล้ว (ขอเว้นบ้านผีสิงไว้ก่อนแล้วกันเพราะกลัว55555) เล่าจากตรงไหนก่อนดีล่ะ เปิดโทรศัพท์นั่งไล่ดูรูปฟื้นความจำแปป

ตั้งแต่ขึ้นวัย 25 ปีบริบูรณ์แล้วรถไฟเหาะเราวิ่งไม่หยุดเลยเว่ย ไม่มีการปราณีใดๆไรเมตตาเหมือนคนหมดใจ(?)

หลังจากเอนทรี่มูฟออนครั้งที่แล้ว ชีวิตเราก็ยังดำเนินต่อไปในทิศทางที่ตัวเองคิดไม่ถึงเหมือนกัน  ก่อนอื่นต้องอัพเดทจากเอนทรี่ก่อนสินะ หนึ่งทัตจังกับเราไม่มีอะไรคืบหน้าและไม่สานแล้วเพราะขี้เกียจ ไม่อยากเอาตัวเองไปอยู่วงจรเดิมอีกแล้ว ลดสถานะเป็นคนรู้จักกันก็พอ ต่อมาเรื่องย้ายงาน ก็ยังไม่ได้ย้ายด้วยปัจจัยต่างๆ จริงๆมีการสัมภาษณ์อะไรต่างๆมาตลอด แต่ก็ยังไม่เจอที่ใหม่ที่ได้ข้อเสนอดีเทียบเท่าหรือมากกว่าบริษัทปัจจุบัน เลยไม่รู้จะย้ายทำไม บวกโบนัสปีนี้โหดมาก เลยคิดว่าไหนๆก็ทำมาขนาดนี้ละอยู่รับโบนัสอีกหน่อยดีกว่า แต่ก็ยังหาเรื่องจะออกอยู่เรื่อยๆ 



สำหรับปัญหาที่ทำงานที่ยืดเยื้อมานาน จะว่าเบาลงหรือชินแล้วก็ไม่รู้ ยังมีเรื่องให้หัวเสียเรื่อยๆแต่ไม่ได้สาหัสปางตายแบบที่ผ่านๆมาๆ เอาเป็นว่าอะไรเดิมๆในช่วงเวลาที่หายไปไม่ได้อัพเดทไม่ได้มีอะไรพีคเลย เป็นทุกๆวันๆที่เรียบง่ายจนน่าเบื่อ ไม่มีอะไรมาเขียน

เรื่องความรัก เหมือนเดิมมีคนนั้นคนนี้เข้ามาเรื่อยๆ มีหมอ(อีกแล้ว)รอบนี้เข้ามา 2 คนเลย อาจจะเคยเล่าแล้วว่าคนนึงก็ดีแต่ไม่ค่อยมีเวลา อีกคนมีเวลาแต่เป็นสลิ่มญี่ปุ่นขี้เกียจคุยเลยเททิ้ง มีเพื่อนร่วมงานมาขอไลน์ชวนไปกินข้าวตอนจัดสัมนา แต่นางก็เงียบๆไป(เราตอบปัดด้วยเพราะไม่ได้สนใจไรมาก) มีใครอีกไม่รู้จำไม่ได้ละ แต่ประมานนี้แหละ คือมันมีเหตุให้เราไม่สามารถจัดสรรเวลาไปเล่นเลิฟเกมส์กับใครได้ แต่เรื่องนี้ก็สอนให้รู้นะว่าเอออิพวกที่เข้ามานี่ถ้าไม่มานั่งเล่นเลิฟเกมส์กับพวกนางสุดท้ายก็จะหายไป ไปเล่นกับคนใหม่ หรืออาจจะไปคบกับคนใหม่ยังไงก็ตามแต่ ตามสบาย



มาพูดถึง Big event ที่เกิดขึ้นจนทำให้เรารับบทเป็นนางรำนางเทกันดีกว่า คือหลังจากอัพเอนทรี่ก่อนได้ไม่นานก็มีเหตุทำให้เรายุ่งขึ้นมาก็คืออออออ เราได้ offer แปลหนังสือนิยายเล่มแรกกกกกกก ไม่รู้ว่าเคยพูดถึงมากขนาดไหน แต่วินาทีที่เราตัดสินใจเบนตัวเองไปเรียนสายภาษาญี่ปุ่น(เมื่อก่อนเป็นสายดีไซน์) เราได้ตั้งเป้าหมายที่เรียกว่าเป้าหมายชีวิตเลยก็ได้ไว้ว่า 

1.เราต้องได้ทำงานกับศิลปินที่ชอบ(อันนี้ทำไปแล้วตั้งแต่ก่อนมาญป.) 

2.เราต้องมีชื่ออยู่บนปกหนังสือ(ในที่สุดก็ได้ทำปีนี้)

3.ลดความอ้วน (อันนี้ไม่รู้จำสำเร็จชาติไหน55555)

มามองย้อนดูในตอนนั้นเราว่าเป้าหมายที่เราตั้งมันสูงมากและไม่คิดเลยว่าตัวเองจะสามารถเคลียตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ ที่พูดไม่ได้ตั้งใจจะขิงหรือว่าตัวเองเก่งนะเรารู้ข้อบกพร่องของตัวเองดี แต่คือมันเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากที่ในที่สุดเป้าหมายชีวิตเราก็เคลียไปเกินครึ่งแล้ว และกำลังจะได้ทำต่อเรื่อยๆด้วย เราเลยตัดสินใจแปลตัวอย่างเพื่อให้ทางสำนักพิมพ์เลือกว่าจะให้แปลเล่มนี้ไหม ซึ่งเราก็ได้รับเลือกมา ทำให้ชีวิตตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเรามุ่งมั่นไปกับการแปลหนังสือ 1 เล่มให้จบภายในเวลาที่สำนักพิมพ์ให้มา


อย่างที่หลายๆคนรู้ เราเป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว เราอ่านหนังสือญี่ปุ่นเยอะพอตัวเหมือนกัน ในแนวที่ตัวเองชอบ เลยค่อนข้างมีแพชชั่นในการแปลพอสมควร แต่ระหว่างทางไม่ได้ง่ายเลยเว่ย ด้วยความที่เราทำงานประจำซึ่งหนักเหี้ยอยู่แล้ว ต้องจัดสรรเวลามาแปลให้ดี ให้จบ ระหว่างทางที่แปลเครียดมาก เพราะไม่รู้ดิ อาจจะเพราะคาดหวังกับตัวเองไว้เยอะกับความกลัวโดนด่ามันทำให้เรากดดันตัวเองพอสมควร

ขออธิบายอาการกลัวโดนด่าหน่อย ใครที่เล่นทวิตเตอร์คงจะเห็นเคสที่นักแปลถูกเอามาแหกบ่อยๆ คือนักแปลน้อยคนมากอะที่จะถูกชมอย่างเป็นกิจลักษณะ คนส่วนใหญ่เน้นด่ากันอยู่แล้ว ชีวิตที่ผ่านมาโดนด่าในทวิตมาหลายต่อหลายครั้งจนเรียกว่าชินก็ได้ แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป มันไม่ใช่ว่าเราโดนด่าคนเดียวแล้วจบแต่มันรวมไปถึง บก. สำนักพิมพ์ และถ้าเราแปลแย่มากก็เหมือนไม่ให้เกียรติต้นฉบับ แกฉันคิดเยอะมากกกก จนต้องเรียกสติตัวเองว่า สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือเก็บความให้ครบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และทำให้มันเสร็จตามกำหนด มันคือการต่อสู้กับสุขภาพจิตตัวเองที่ไร้ซึ่งความนิ่งอยู่แล้ว

อีกอย่างคือเราต้องต่อสู้กับสุขภาพร่างกายของตัวเองที่ห่างหายจากการทำฟรีแลนซ์มาพักใหญ่มาก ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ญี่ปุ่นเราก็ทำงานหลักอย่างเดียวมาตลอด (ต่างจากสมัยก่อนมาที่ทำงานสายตัวแทบขาด) การทำงานหลักอย่างเดียวทำให้เราสามารถบริหาร work life balance ได้ คือหลังเลิกงานกลับบ้านมาไม่ต้องทำอะไรแล้วไง ต่างจากสมัยเรียนที่เรียนเสร็จกลับบ้านมาต้องทำนู่นทำนี่อยู่ คนเราถ้าไม่หาทำแบบอินี่ก็กินเงินเดือนไปวันๆก็ได้ แต่เราทำไม่ได้555555555 มันอยู่ไม่สุข มันขาดอะไรสักอย่างไป มันคือชีวิตที่ว่าง พอว่างแล้วไง พอว่างก็เพ้อเจ้อ(เห็นได้ตามเอนทรี่เบียวๆก่อนหน้านี้มากมาย) คือเราไม่ค่อย productive เท่าไหร่ เพราะห่างกายการทำอะไรแบบนี้ไปพักใหญ่ บริหารเวลานอนไม่ได้ บวกกับความเครียดที่ถาโถมเข้ามา (ช่วงนั้นมีสัมภาษณ์ย้ายงานด้วยอะไรด้วย) จนร่างพังไปเลยจ้า โรคฟรีแลนซ์มาเยือนครั้งแรก!

เผื่อใครไม่รู้จัก(เพราะก่อนหน้านี้เราก็ไม่รู้ ไม่คิดว่ามันจะมีจริงคิดว่ามีแต่ในหนัง) โรคฟรีแลนซ์คือลมพิษนั่นแหละ เป็นโรคยอดนิยมของคนทำฟรีแลนซ์ จากการสอบถามคนรอบข้างพบว่า พี่ๆที่รู้จักกันเป็นกันแทบทุกคนจนเรารู้สึกว่า อ๋อนี่เราไล่ตามพวกพี่ๆเขาทันแล้วสินะ55555 อาการทุกคนเหมือนกันเลยคือผื่นขึ้น(ขึ้นตรงไหนนี่แล้วแต่คน) มันเกิดจากการที่เราเครียดจัดมากๆบวกกับไม่ได้นอนติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่ง (อย่างเคสเราคือ 2-3 เดือน)

-----

กุมภาพันธ์ 2022 

ข้อความข้างบนคือสิ่งที่เหมียวในอดีตเขียนเอาไว้ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวในอดีตช่วงนั้นเจออะไรมาในชีวิต55555 แต่ไม่ว่าตอนนั้นเหมียวในอดีตจะเครียดอะไรมา อยากบอกว่าตอนนี้เธอได้ผ่านพ้นช่วงเวลานั้นมาแล้ว ปรบมือให้เหมียวในอดีตหน่อย โอเค เราคือเหมียวในปัจจุบันที่ก้าวผ่านทุกสิ่งทุกอย่างมาจนลืมไปแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เราจะไม่ลบไม่แก้ เพื่อเป็นการให้เกียรติความพยายามอันเล็กน้อยของตัวเองในอดีต

เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมียวในอดีตไม่เขียนเล่าเรื่องโรคฟรีแลนซ์ให้จบๆไป ชีคงเหนื่อยอะไรสักอย่างอยู่เป็นว่าในฐานะเหมียวในปัจจุบันจะขอเล่าแทนละกัน (คนอ่านบอกเลิกเล่นมุกฝืดได้แล้ว)

.

.

ครึ่งหลังของการแปลหนังสือ (แปลไปได้น่าจะ 70%ละมั้ง) กายหยาบเราเกิดอาการเป็นลมพิษอย่างหนักขึ้นมา เพราะตอนนั้นอะคิดว่าตัวเองติดโควิดไม่ออกบ้านนาน เครียดมากเพราะไม่รู้จะดิลยังไงถ้าติดจริงๆบวกกับกลัวเพื่อนติดด้วยเพราะเพิ่งตี้กับเพื่อนไป บวกกับหนังสือก็ยังแปลไม่เสร็จ แล้วยังมีงานเสริมอีก (ทำงานเหมือนติดหนี้5555) ถ้าติดขึ้นมาก็จะเสียเวลาแปลไปด้วยกลัวไม่ทันเดธไลน์ บวกกับอาการนอนไม่หลับสะสมมาตลอดชีวิต(?) หลอกๆ คือช่วงที่แปลมันก็เครียดนอนไม่ค่อยจะหลับ บวกกับอาการที่เปลี่ยนแปลงบ่อย มีหลายปัจจัยมากไม่รู้ว่าสิ่งที่พีคที่สุดคืออะไรแต่นั่นแหละ กายหยาบก็แสดงให้เห็นว่าฉันไม่พอใจการใช้ชีวิตของแกด้วยการเป็นลมพิษขึ้นที่ขา 



ตอนแรกก็คิดว่าไม่ใช่มั้งคงโดนแมลงอะไรสักอย่างกัด เพราะมันขึ้นตอนเราออกจากบ้านพอดีแล้วก็คันมาก แต่มันน่ากลัวมากแก ตอนแรกมันก็นิดเดียวนะ แต่มันคันมาก ยิ่งเกายิ่งขึ้น เกาตรงไหนก็ขึ้นตรงนั้น คิดว่าไม่ใช่ละเลยถ่ายรูปทั้งหมดส่งไปให้มิตรสหายชาวญป.ท่านนึงผู้มีประสบการณ์การเป็นลมพิษ เพื่อนก็บอกว่า เออมันเป็นไปได้นะแกร ไปหาหมอซะ เราเลยไปหาหมอแล้วก็ได้ยามากินตามระเบียบ หมอบอกมันจะกลับมาเป็นอีกเมื่อไหร่ก็ได้เพราะกายหยาบของเธอมันเสียระบบไปแล้ว เอาเป็นว่ากินยา งดแอล(แต่เราไม่ดื่มอยู่แล้วนะ) และที่สำคัญสุดคือนอนให้พอ นอนให้มันครบแบบที่มนุษย์ปกติเค้านอนกัน คืองี้ เรามีปัญหากับการพักผ่อนมาตลอดเป็นคนนอนไม่ค่อยหลับตั้งแต่ไหนแต่ไรละ โชคดีที่ช่วงนั้นอาจจะเหนื่อยสะสมทำให้เรานอนได้ แต่ก็ไม่พออยู่ดี 

บอกเลยเพราะเข้าวัย 20 ตอนปลายโอกาสเป็นลมพิษมันเยอะมาก โดยเฉพาะ สาวๆ อ่านไว้ละกันเนอะ เราใช้เวลารักษาอิลมพิษแบบน่าจะหายขาดราวๆ 3 เดือนได้(แต่ดีขึ้นหลัง 1 เดือนแรก) วิธีรักษาของเราคือนอนให้ครบ 7-8 ชั่วโมงติดต่อกันให้มากที่สุด คือหาเวลานอนให้มากที่สุด เวลาลมพิษขึ้นห้ามเกาเด็ดขาดเพราะยิ่งเกามันจะยิ่งขึ้นแล้วอาจจะเป็นรอยแผลเป็นได้ ซึ่งทีนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ละ แค่นี้แหละ เบสิคมาก แต่ยากนะ 

เท่ากับว่าช่วงเวลาในปี 2021 ที่เราหายๆไปเนี่ยคือ 1 แปลหนังสือ 2 รักษาตัวเอง แค่นั้นเลย ทำให้เราไม่ได้อัพบล็อค มันเป็นช่วงที่ต้องโฟกัสตัวเองเยอะมากกกก แต่ก็งงเหมือนกันว่าช่วงปีที่ผ่านมาไอจีเราแอคทีฟที่สุด แอคทีฟจนงง อย่างที่เขาว่าแหละแก ช่วงไหนที่ยุ่งๆ ทุกอย่างจะแอคทีฟ ช่วงไหนเงียบๆ

แต่เรายกให้ช่วงเวลาที่หายไปเป็นช่วงเวลาแห่ง "การจากลา" เลยก็ได้นะ จากที่รอบข้างเราไม่มีใครอยู่แล้วอะ มันสามารถไม่มีใครได้อีกว่ะ คนรอบตัวที่สนิทค่อยๆหายไปทีละคนสองคนตามการเวลา ทุกคนต้องมีเหตุอะไรสักอย่างที่ต้องห่างจากเราไป (เหตุที่ว่าไม่ใช่การทะเลาะอะไรนะ เช่นย้ายที่ทำงานไรงี้) พออ่านทั้งหมดที่เขียนข้างบนแล้วก็ได้แต่คิดว่า เอ๊ะหรือนี่คือรสชาติของเบญจเพสวะ พอคนรอบข้างหายไปหมด เราก็มีเวลามานั่งทบทวนชีวิตที่ผ่านมา (ทบทวนบ่อยจังวะ5555) ขออภัยใครที่รออ่านเรื่องความรักเพราะตั้งแต่โบกมือลาจากหมอคนที่เขียนไปข้างบนแล้วเราก็ไม่มีใครเลยจนน่าแปลกใจ (ขี้รำคาญก็งี้แหละ) จะว่ากลัวก็อาจจะเป็นไปได้นะ เพราะที่ผ่านมาเราอยู่คนเดียวเฉยๆก็มีความสุขดี ปกติเราเป็นคนชอบคนยากอยู่แล้วด้วย (หรอ55555) เอาหน่าอ่านไปก่อน เรากลัวจะมีคนเข้ามาแล้วทำให้บาลานซ์มันเสียอะ เราไม่อยากเสียใจ ไม่อยากหลุดโฟกัสไปกับสิ่งที่เราคอนโทรลไม่ได้อย่างเรื่องความรักแล้วอะ ทุกคนเข้าใจที่เราอยากสื่อมะ ไม่ใช่ไม่หานะ แต่ไม่อยากเสี่ยงแล้ว

ทุกวันเราเลยหมดไปกับการใช้ชีวิตอย่างจริงจังในแต่ละวัน ทำงาน ทำอาหาร ดูนู่นนี่ อ่านหนังสือ นอน แปล เล่นโยคะ (แต่ยังไม่ผอมสักทีนะงง) วนไปเรื่อยๆ ไปเที่ยวบ้าง แล้วก็มานั่งเสี่ยงคุกกี้ว่ากรูติดรึยัง 

ทุกคนชินกับโควิดรึยังอะ เราผ่านกันมากี่ซีซั่นแล้วไม่รู้

___________________________

มีนาคม 2022

การเวลาผ่านไปเร็วนั้น สกิลการดองช่างก้าวล้ำขึ้นไปทุกวัน แต่เหมียวกุมภากับเหมียวมีนาคงไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่เพราะห่างกันแค่วีคเดียว

จะอัพเดทสั้นๆว่าเพิ่งกรอกใบสมัครรอบที่สามร้อยยี่สิบ(?) ได้ไม่ได้ไม่รู้

ปี 2022 ผ่านมาสองเดือนกว่าแล้ว เรายังไม่มีโปรเจคทำอะไรใหม่เป็นพิเศษเลย ผิดหวังในตัวเองเหมือนกันที่ไม่สามารถทำตามความต้องการของตัวเองให้สำเร็จได้ แต่เราก็อาจจะกดดันตัวเองมากเกินไป หวังว่าเราจะได้ฟังข่าวดีบ้างในปีนี้

เพราะเดือนหน้าก็จะ 26 แล้วเธอ เห็นแว๊บๆว่าเบญจเพศย้ายมา 26 แล้วก็ได้แต่คิดว่า ไม่ไหวนะ คือไม่ไหวแล้วนะ เรารู้ตัวเลยว่าทุกวันนี้เราอยู่ได้ด้วยจิตที่นิ่ง (จากการเล่นโยคะจนกล้ามเนื้ออักเสบ แต่มันช่วยเรื่องสมาธิจริง) แต่ถ้ามันมีเหตุการณ์ที่เอฟเฟคกับเราขึ้นมา นี่คิดว่าเหมียววัย 25ย่าง/26 ก็ไม่น่าจะไหว แล้วตัดสินใจทิ้งทุกอย่างเหมือนกัน หวังว่าเอนทรี่หน้าจะมีคอนเทนต์มากกว่านี้นะ ช่วงนี้เราขอใช้ชีวิตแบบจริงจังวนไปก่อน ขออภัยถ้าเอนทรี่ที่อุส่าห์รอแล้วเอนทรี่นี้ไม่สนุก;;

อิโควิด ฉันเกลียดแก

เอารูปไปดูเล่นละกัน เกียวโตที่ไร้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ (ถ่ายอะไรมา55555)





สุดท้ายนี้ฝากกน้องด้วย hello world  พบเจอน้องได้ตามร้านหนังสือทั่วไป

0 ความคิดเห็น:

Post a Comment