How to หางานที่ญี่ปุ่น! *ฉบับเรียนจบที่ไทย100%*


เวลาเราเล่าให้ใครฟังว่า "เราตัดสินใจไปทำงานที่ญี่ปุ่น" คำพูดแรกที่ทุกคนพูดใส่คือ เฮ้ยย จะไหวหรอ มันเครียดนะ  ต้องเล่าย้อนไปช่วงประมานปี 3 เป็นช่วงที่เราลังเลว่าจะเรียนต่อดีไหม คือเรียนไม่ไหวแล้วแหละ แต่คิดว่าถ้าจบแค่นี้ก็คงไม่ดีแน่ๆ ในช่วงที่เราลังเล เราก็ได้โอกาสไปฝึกงานที่ญี่ปุ่น (สำหรับใครที่สงสัยให้ไปอ่านในนี้นะคะ) จากนั้นหลังจากเรากลับมาก็มีการสัมภาษณ์กับบริษัทที่ไปอินเทิร์น เราก็ได้งานที่ญี่ปุ่น ตั้งแต่ตอนอยู่ปี4 เทอมแรก 

อย่าเพิ่งปิด!! ที่เขียนไปมันแค่จุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด

.
.
.

จริงๆมีอีกเอนทรี่ที่เราเขียนเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงปี 2018 ที่ผ่านมาเอาไว้ เป็นเอนทรี่ที่ดุเดือดและเต็มไปด้วยฟิลลิ่ง รออ่านละกันนะ เรามามีสาระกันก่อน

*ย้ำก่อนถึงเราจะเขียนอธิบายยืดยาว แต่ส่วนที่เราไม่รู้ก็มี การหาข้อมูลด้วยตัวเองสำคัญมากก*


วิธีการหางานในญี่ปุ่น 

จริงๆมีหลายวิธีมากๆๆๆ โดยเฉพาะคนที่มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นอยู่ในระดับที่ดี (ส่วนตัวเราคิดว่า N3 ก็น่าจะได้ แต่ทางที่ดีควรจะมี N2 ขึ้นไป) การหาข้อมูลไม่ใช่เรื่องยาก (แต่การปฏิบัติยากสราส5555) คนอาจจะคิดว่าคนที่จะหางานที่ญี่ปุ่นได้ต้องเรียนจบเอกญี่ปุ่นเสมอไป จริงๆไม่ใช่ คนที่ได้เปรียบที่สุดในเกมส์นี้คือคนที่เรียนสายเฉพะทาง เช่น วิศวะ ไอที ที่ได้ภาษาอังกฤษในระดับที่ปานกลาง-ดี และ ภาษาญี่ปุ่น นิดหน่อย ได้เปรียบที่สุด!! 

1.หาผ่านรีครูทที่ไทย อันนี้ง่ายสุดแต่ต้องพึ่งพาดวงด้วย เพราะรีครูทที่ไทยก็มีงานที่ถูกส่งไปญี่ปุ่นเหมือนกัน แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจังหวะและดวง! แน่นอนความสามารถก็เป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งได้ผลวัดระดับสัก N1 บวกกับคะแนนสอบภาษาอังกฤษที่หน้าตาดูดี มีโอกาสพอสมควรเลย แต่ดวงก็มีส่วนนะ เพราะงานมันไม่ได้เข้ามาตลอด ช่วงที่เราหางานอยู่อาจจะไม่มีเลยก็ได้ รีครูทเคยแนะนำให้เราถามหางานช่วงต้นปี เพราะช่วงนั้นจะมีงานเข้ามาเยอะ ส่วนตัวเราก็เคยได้งานบริษัทไอทีแห่งหนึ่งในญป.ผ่านรีครูทที่ไทยเหมือนกัน (ได้ตัว内定มานอนกอดเรียบร้อย แต่ปฎิเสธอย่างมีเหตุผล5555 ซึ่งคงเป็นกรรมส่งผลมาตลอดปี) แล้วก็มีพี่ๆหลายคนที่ทำงานในญี่ปุ่นตอนนี้ได้งานจากบริษัทรีครูทในไทย หลากหลายที่แตกต่างกันไป ฉนั้น! แนะนำว่าไม่ต้องเสียเวลาดีเอ็มมาหาเราหรอก ลองถามบริษัทรีครูทญี่ปุ่นใหญ่ๆดู อาจจะมีก็ได้ 

2.ลองถามที่ฝึกงานดู วิธีนี้ก็ไม่ยากสำหรับคนที่เคยไปฝึกงานที่ญี่ปุ่นจะรู้ว่าพอเราเอาตัวไปเหยียบที่นั่นแล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้ การที่เค้ารับเราไปฝึกงานที่นั่นแสดงว่าเค้าขาดคนถูกมะ อย่างที่เราบอก เราก็ได้งานจากที่ฝึกงานในตอนแรกเหมือนกัน (อันนี้ไม่ได้ถามแต่เค้ามีการพูดคุยเกริ่นๆอยู่แล้ว) ช่วงฝึกงานก็ทำผลงานดีๆ ถึงจะไม่ชอบก็เถอะ แต่ใครจะไปรู้ อะไรก็เกิดขึ้นได้นะ อันนี้พูดจากประสบการณ์ตัวเองเลยว่า ชอบไม่ชอบก็ทำดีไว้ก่อน อย่าเพิ่งเท ได้มาแล้วค่อยคิดว่าจะเอาไหม555555

3.Job Fair หลายคนรวมถึงคนญี่ปุ่นเอง ได้งานจากการร่วมงานพวกนี้ เราก็เช่นกัน Job Fair มีหลายแบบมาก ทั้งที่จัดในไทย ตปท. และที่ญี่ปุ่นเอง ถ้าจัดที่ไทยก็ง่ายหน่อยเพราะไม่ต้องวุ่นวายไปต่างประเทศให้เสียเวลา สัมภาษณ์ที่นี่ตายที่นี่ไปเลย (แต่เราไม่เคยร่วมงานแบบนี้ที่ไทยนะ)

เว็บที่อยากแนะนำคือเว็บนี้ https://job.connectiu.com/en/ เว็บนี้เค้าจะจัดงาน TOP CAREER ASIA PACIFIC ที่สิงค์โปร มีทุนอะไรให้เราบินไปสัมภาษณ์ที่นั่น ง่ายๆคือแทบไม่ต้องออกค่าอะไรเลยได้ไปเที่ยวด้วย งานนี้จะจัดช่วงปลายปี เดือนตุลาคม อะไรประมานนี้ ก็ลองเล็งช่วงเวลาดู ติดตามข้อมูลในเฟซบุคก็ได้ https://www.facebook.com/job.connectiu/ สมัครเว็บทิ้งไว้ เผื่อมีงานที่เข้ากับเราก่อนช่วง Job Fair งานของเค้ารวมบริษัทใหญ่ๆไว้เยอะมากกก ดีๆทั้งนั้นแต่ก็สัมภาษณ์โหดนะ ต้องคัดกับทางเว็บก่อนว่าคุณสมบัติเราผ่านที่จะร่วมงานไหม(ที่เค้าจะให้เงินไปสัมไหม55555) แล้วก็ต้องทำตัว 履歴書 ส่งไปให้บริษัทที่สนใจพิจารณา แล้วเค้าก็จะส่งมาว่า โอเคสนใจจะสัมภาษณ์คนนี้ งานจัดเสาร์อาทิตย์ สัมภาษณ์รอบแรก วันเสาร์ รอบ2 วันอาทิตย์ ถ้าผ่านก็ต้องบินไปสัมภาษณ์ที่ญี่ปุ่นอีก บางบริษัทก็แจก 内々定 กันในงานเลย ในงานจะมีบริษัทที่ไม่อยู่ในลิสให้สมัครแต่มาเปิดบูธในงานด้วย (บริษัทที่เราได้) นี่ไปนั่งคุยกับเค้าเพราะว่าง เค้าก็บอกสนใจก็เข้าไปสมัครในเว็บนะ นี่ถามไม่สัมภาษณ์ในงานหรอคะ เค้าบอกนี่ไงสกรีนผ่านแล้ว แต่ยังไงก็ต้องไปสัมภาษณ์ที่ญี่ปุ่นอยู่ดี สอบผ่านแล้วค่อยว่ากัน 


(บรรยากาศจริงหน้าห้องสัมภาษณ์ มีรูปเดียวนี่แหละ 55555)


อีกเว็บนี่พี่จินนี่แนะนำมา https://careerforum.net/en/ เว็บสำหรับชาวต่างชาติหางานเหมือนกัน เสียดายเจอกันช้าไปเราเลยยังไม่ทันได้ใช้ แต่ดูๆแล้วก็ดีเหมือนกันนะ เก็บไว้เป็นแนวทางก็ไม่แย่

ซึ่งใครที่ใช้วิธีที่สาม บอกเลยว่าคุณได้ใช้ระบบเดียวกับคนญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้วจ้า หลายที่เลยใช้ข้อสอบเดียวกัน เดี๋ยวเราจะมาพูดถึงข้างล่าง

สิ่งที่ควรรู้เอาไว้ หากคิดจะสมัครงานบ.ญี่ปุ่น

ของจริงเริ่มแล้ว มีสิทธิ์สัมภาษณ์ก็ใช่ว่าจะผ่าน บริษัทญี่ปุ่นหลายที่ (โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ๆดังๆ พวกที่พูดชื่อแล้วรู้จักเลยอะ) คัดโหดมากกก บางที่จะให้เราส่ง 履歴書 (Resume แบบญี่ปุ่น) บางที่ไม่เอา ให้เราเข้าไปกรอกในระบบเค้าเอา แต่ถึงเค้าจะเอาไม่เอาเราก็ควรทำ น้อง履歴書เอาไว้นะ น้อง Resume ด้วย อุ่นใจ ถึงเค้าไม่ใช้ก็จะได้มีแนวทางในการเขียน ส่งเสร็จก็รอเค้าส่งตัวข้อสอบมาให้ทำ สอบผ่านเรียกสัมภาษณ์ ขั้นตอนก็ต่างกันไป บางที่ก็ไม่มีสอบ แต่ส่วนใหญ่ก็

เขียนเรียงความบลาๆ> สอบ > สัม1 > Group work>สัม2
สัม1 > สอบ >สัม2 > สัม3 

บางที่มีอินเทิร์นก่อนไปอีก ปวดหัว เอาเป็นว่าส่วนใหญ่จะสัมภาษณ์เฉลี่ย 2-3 รอบ บางที่ซวยหน่อยก็จะมีสอบด้วย (แต่ส่วนมากถ้าเลือกจะหางานระบบเดียวกับคนญป.ก็ต้องสู้นะ ถ้ามีสอบก็ข้อสอบเดียวกับคนญป.เลย) 

เรามาอธิบายทีละอย่างดีกว่า

1.履歴書 (Rirekisho) หรือ Resume ภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง ความญี่ปุ่นอะเนอะ ทุกอย่างก็จะมี Format อยู่แล้ว หากเราเสิร์ชคำนี้ในกูเกิ้ลเราก็จะเจอ เอกสารหน้าตาที่แตกต่างเหมือนกันดังภาพ




    จริงๆแล้วหากเสิร์ชคำว่า 履歴書.pdf เราจะพบไฟล์ตัวอย่างให้เอาไปใช้ได้เลย เราก็แค่เลือกอันที่ตัวเองพอจะเขียนให้มันครบได้ แนะนำให้ลองหาเว็บญี่ปุ่นหลายๆเว็บอ่านประกอบด้วยจะได้รู้ว่าอะไรควรเขียนไม่ควรเขียนนะคะ ส่วนตัวเราเองมี 履歴書 หลายเวอร์ชั่นมากๆ และ เวอร์ชั่นล่าสุดหน้าตารวมๆเป็นแบบนี้ (ขออนุญาตเบลอข้อมูลส่วนตัว)


ทุกคนอาจจะคิดว่าไม่ช่วยไรเลย ใช่แล้ว 5555555555 ไม่ได้ให้ลอกหนิ ส่วนตัวเราก็เขียน 履歴書 แบบไม่ปรึกษาใครเหมือนกัน5555 แต่คนญี่ปุ่นพอเห็นเราเล่นใหญ่จัดเต็มส่วนใหญ่ก็ชมนะ เน้นเขียนไม่ผิดไวยากรณ์แล้วสื่อข้อความที่ตัวเองอยากจะสื่อก็น่าจะได้ (อันนี้คิดเอง) คือทำยังไงให้เค้าอ่านกระดาษ 2 แผ่นนี่แล้วอยากคุยกับเราอะ เพราะ 履歴書 เป็นเหมือนใบเปิดทางให้เข้าไปสัมภาษณ์หลายที่ตัดคนจากการอ่าน ส่วนตัวเรามั่นใจมากเว่ย ว่าถ้าได้อ่านต้องผ่าน แต่สัมผ่านไหมอีกเรื่องนะ 5555555555

2.สอบ!! สอบอะไร? นั่นเป็นสิ่งแรกที่เราคิด หลังจากบริษัทบอก รอแปปเดี๋ยวส่งข้อสอบให้ โอเคเราก็เรียนเอกญี่ปุ่นมา ก็พอรู้จักว่ามันมี 履歴書 อยู่บนโลกแบนๆนี้ แต่ไม่เห็นเคยรู้เลยว่าจะเข้าบริษัทอะไรมันต้องสอบด้วย (น้ำตาไหล) หลายๆที่เรียกการสอบว่า webテスト ซึ่งมีหลายประเภทมากตามนี้


ข้อสอบพวกนี้ส่วนใหญ่ก็จะมีการสอบบุคลิกภาพ(ร้อยกว่าข้อ) และ สอบความรู้ทั่วไป (เท่าที่เจอมาเป็นการสอบคณิต ภาษาญี่ปุ่น(แบบที่ใช้ทดสอบคนญป.คิดดูละกัน) ภาษาอังกฤษ แล้วก็ข้อสอบวัดไอคิว อีคิว นิดหน่อย) ซึ่งอันที่ฮิตสุดคือ SPI และ 玉手箱 (Tamatebako) เป็นข้อสอบที่เหมือนชื่อเลย คือเว็บเทส ทำผ่านเว็บ ทำที่บ้านนี่เอง จะนั่งกินมาม่าไป หรือนั่งทำสิบคนก็ไม่มีใครรู้ 5555 คิดแล้วก็เหมือนสอบแอด แกทแพทนั่นแหละ มีหนังสืออ่านแต่ไม่รู้ว่ามันจะออกอะไร ที่สำคัญข้อสอบเชี่ยนี่ จับเวลาเว่ย!! จับเรียงข้อเลยด้วย โอ้โห อ่านให้ออกคิดวิเคราะห์แยกแยะก็ยากละ มึงยังจับเวลาเรียงข้ออีก แล้วขึ้นแถบเวลาให้เห็นด้วยนะ โอ้โหหหหหหหหหหหหห ใครทำได้เก่งบอกเลย555555555 เธอที่กำลังอ่านอยู่แล้วคิดจะเข้าบริษัทญี่ปุ่นใหญ่ๆนะ ถ้าจริงจังไปหาหนังสือ SPI อ่านแล้วฝึกทำตอนนี้เลย! ก็จริงว่าถ้าดวงดีจะไม่โดน แต่บริษัทใหญ่ๆชนิดที่ว่าพูดชื่อแล้วรู้จักส่วนใหญ่เค้าสอบหมดแหละ เราสามารถเปิดหนังสือทำ ใช้เครื่องคิดเลข เกณฑ์เพื่อนมาทั้งห้องก็ได้ แต่ด้วยความจับเวลาอะนะ มันก็ไม่ได้ขนาดนั้นหรอก (แต่แนะนำให้ทำเองนะ555555 อย่าโกง เราก็ทำเองคนเดียว)

ตัวอย่างหนังสือ 




ไม่ได้บอกว่าเล่มนี้ดีนะ คือเวลาเราจำกัดวิ่งไปดูที่คิโนะเจอแค่เล่มนี้ ก็เลยซื้อมาแบบช่วยไม่ได้ จริงๆเล่มนี้ค่อนข้างๆเปิดยาก ไม่ค่อยแนะนำ มีเล่มที่ดีกว่านี้ ลองดูใน amazon ได้

หน้าตาหนังสือก็จะเป็นแบบนี้ (ข้อสอบจริงก็ประมานนี้) ขอแว๊บๆพอ กลัวปัญหาลิขสิทธิ์ ปลอดภัยไว้ก่อน คือมันอาจจะดูยากแต่ถ้ามีเวลาศึกษาทบทวนคณิตศาสตร์ที่ทิ้งทวนกันไปนาน เราว่ามันก็อยู่ในระดับที่ทำได้นะ มันจะมีทั้งข้อยากและข้อง่าย สลับๆกันไป ก็ทำเต็มที่ละกัน เพราะเวลาที่จับแต่ละข้อมันทบกันไม่ได้อยู่ละ สติสำคัญสุด และที่อยากฝากไว้คือ ถ้าเค้ามีข้อสอบให้เลือก ภาษาอังกฤษ กับ ภาษาญี่ปุ่น ให้เลือกภาษาอังกฤษ!! แม้จะไม่มั่นใจในสกิลภาษาอังกฤษ แม้จะคิดว่ากุได้ภาษาญี่ปุ่นมากกว่า ก็เลือกภาษาอังกฤษเว่ย!!!! ข้อสอบโจทย์คณิตภาษาอังกฤษเข้าใจง่ายกว่าภาษาญี่ปุ่นเยอะ แล้วถ้าเลือกสอบอังกฤษอาจจะไม่ต้องสอบภาษาญี่ปุ่น(ที่ใช้สอบคนญป.)ด้วย อันนี้พูดจริงๆทำหน้าจริงจัง

อีกอย่างบางบริษัทตอนไปสัมภาษณ์โดนให้ทำข้อสอบสดๆอีกรอบด้วยนะ นี่โดนมาละ ฉนั้นถึงเราจะโกงข้อสอบไปยังไง หน้างานทำไม่ได้ก็คือไม่ได้ บาย

3.สัมภาษณ์ ถามว่าการสัมภาษณ์ที่ญี่ปุ่นเป็นไง ก็คล้ายๆที่ไทยนะ เค้าจะให้ 自己PR (PRตัวเองแบบสั้นๆ) ถามข้อดี ข้อเสีย ถามนู่นนี่นั่น อาจจะคิดใช่มะว่าสัมอะไรหลายรอบ คือ ที่เราเจอมาก็จะเป็นการไล่ระดับจากระดับน้อยไปมาก คำถามก็เดิมๆ เรื่องสัมภาษณ์แล้วแต่ดวงละ แต่จุดสำคัญยิ่งเราเป็นผญ. อันนี้คิดเองนะ เราต้องดูเป็นผญ.มั่นใจเว่ย ญป.เค้ามีภาพลักษณ์ผญ.ไม่ดีเท่าผช.หรอก เราต้องเฟี๊ยสพอ (ถ้าไปกับเพื่อนก็เดินแยกนะ) เราต้องทำยังไงก็ได้ให้เค้าเข้าใจว่าเราโอเค เราเก่ง เราสู้ เราทำได้ เราไม่เป็นไร แต่ก็ต้องมีความร่าเริงสดใส ดูแล้วน่าจะทำงานเป็นทีมได้ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เวลาพูดหรือตอบอะไรต้องมีเหตุผลที่เข้าใจง่ายไม่วกไปวนมา บางทีเราต้องพูดอะไรให้ตรงกับแนวทางของเค้า แนะนำให้เข้าไปศึกษาข้อมูลบริษัท แล้วก็จำคีย์ที่เขียนในเว็บตัวใหญ่ๆ เขียนอะไรใหญ่ก็อันนั้นแหละ 555555555555  เรื่องสัมภาษณ์นี่ช่วยไม่ได้จริงๆ บางบริษัทคุณสมบัติผ่านแต่เค้าเลือกตามคอนเซปบริษัท เราอาจจะไม่ใช่คนประเภทเดียวกับคนในบริษัทเค้า อันนี้ก็ช่วยไม่ได้อะ บางบริษัทเข้าไป คนแบบเดียวๆกันเลย HR เค้าก็คงมีในหัวอยู่แล้วแหละ ว่าต้องการคนแบบไหน อันนี้ช่วยไม่ได้จริงๆ ต้องทำใจในส่วนนี้ด้วย

ส่วนใหญ่ตัว HR เค้าจะติดต่อผ่านเมล์ ไม่รู้มีผลไหม แต่การศึกษาวิธีตอบเมล์แบบคนญป.ก็ไม่เสียหาย

.
.
.
.

ถึงจะเขียนสรุปเป็นบล็อคได้ แต่จริงๆแต่ละขั้นตอนเต็มไปด้วยความยากลำบากและหยาดเหงื่อ ใครเข้าผ่านบริษัทรีครูทหรือเข้าผ่านไทยได้คือสบายมากกๆๆๆๆ ส่วนตัวเราเคยได้ 内定 4 บริษัท ลองมาหมดทุกแบบละ สุดท้ายเราก็เลือกบริษัทที่เข้ายากที่สุด เพราะเข้ายาก 555555555555555 เชี่ยสอบตั้ง 2-3 รอบ สัมภาษณ์ อีก 3 บินไปบินมา (บริษัทที่ดีเค้าจะออกค่าเดินทางและที่พักให้! จำวรั้ย) แบบเอาวะเข้ายาก เลือกอันนี้แล้วกัน (จริงๆมีหลายเหตุผล แต่เราตัดสินใจไปแล้ว ไม่ว่าจะดีไม่ดียังไงเราจะยอมรับผลเอง) หลังจากเข้าได้มันก็มีความวุ่นวายของมันอยู่ แต่ก่อนอื่นเราต้องเข้าให้ได้ก่อนเว่ย!! หลายคนพอเข้าสู่วงจรการ 就職活動 แล้วแน่นอนว่า ไม่ว่าจะหางานที่ไทย หรือ หางานที่ญี่ปุ่น มันจะต้องเครียด เราขอเขียนให้กำลังใจทุกคนตรงนี้ในฐานะคนที่ผ่านช่วงเวลายากลำบากนั้นมาแล้วให้ทุกคน อย่าเพิ่งยอมแพ้ แน่นอนว่ามันต้องมีคนเก่ง ได้งานอย่างสบายๆ เราอาจจะนก เพราะเราอาจจะยังไม่ใช่คนแบบที่บริษัทต้องการ อะไรที่เป็นของเรา มันก็จะเป็นของเราวันยังค่ำ อย่าเพิ่งยอมแพ้ ถึงไม่รู้ว่าพยายามไปเพื่ออะไรก็พยายามไปก่อน ถ้ายอมเมื่อไหร่ ทุกอย่างคือจบ ถ้ารู้สึกตัวเองไม่ไหว พักก่อนแล้วค่อยๆเดินต่อ เป้าหมายอะอยู่ที่เดิม ค่อยๆเดินไปสักวันก็ถึง 

สุดท้ายแนะนำเพลงที่เราใช้ฟังช่วงหางาน อันนี้ฟังจริงๆ ฟังอยู่เพลงเดียว ถามเพื่อนที่สนิทได้เลย สอบ SPI เสร็จเราก็ไปร้องเกะเพลงนี้ (เป็นบ้า) ท่องไว้เลย

This is my own judgment!! 



เนี่ยคนเรา ช่วงไหนชีวิตมันร็อค เราก็ต้องการเพลงร็อคเพื่อปลุกใจ555555

อีกเพลง คนละแนวกันเลย อันนี้ฟังตอนตัดสินใจทุกสิ่งทุกอย่าง



สายลมมันหนาวหรอ ฉันไม่เคยรู้เลยว่าข้างนอกมันเป็นอย่างไร
ฉันก็มีความกังวลคอยกดทับอยู่เหมือนกัน แต่จะไม่แสดงให้เธอเห็น


สุดท้ายเราคิดเสมอว่าการคิดบวกเป็นเรื่องสำคัญ เราต้องคิดว่า เราทำได้ เราทำได้ เราทำได้ ถ้าเราไม่เชื่อในตัวเองก่อน ใครจะเชื่อเราล่ะจริงไหม แม้จะเหนื่อยแต่เราว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เราคงให้คำปรึกษาทุกคนไม่ได้ แต่ขอให้กำลังใจผ่านบล็อคนี้ไปเลยนะคะ สู้!!!!


ขอบคุณที่อ่านจบจ้า



0 ความคิดเห็น:

Post a Comment